
ต่างชาติแทรกแซงไทย หรือไม่ และต้องทำอย่างไร ‘รศ.ดร.ปณิธาน’ เสนอแนวทางการบริหารความสัมพันธ์กับต่างชาติ เพื่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติและคนไทย
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง โพสต์เฟซบุ๊ก เสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการ เพื่อป้องกันการแทรกแซงอธิปไตย หรือกิจการภายในของไทยจากต่างชาติ ซึ่งการแทรกแซงดังกล่าวนั้น ขัดต่อ ข้อของสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia) ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานในการก่อตั้งระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยใหม่ที่นานาชาติยึดถือกันมาจนถึงปัจจุบัน
โดยเสนอให้มีการแยกแยะพฤติกรรมของต่างชาติออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่เป็นปกติที่เคลื่อนไหวด้วยความหวังดีต่อประเทศไทย, กลุ่มที่ไม่เป็นปกติ ที่กระทำการอย่างผิดมารยาททางการทูต แต่ไม่ถึงขั้นผิดกฎหมาย และกลุ่มที่ผิดปกติ ที่มีพฤติกรรมที่ขัดต่อหลักกฎหมาย
ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มนี้ควรจะมีมาตรการในการรับมือที่แตกต่างกัน และไทยควรจะปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารในการการสร้างสมดุลใหม่ เพื่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งจะทำให้คนไทยและมิตรประเทศของไทยโดยรวมได้ประโยชน์ยิ่งขึ้นในอนาคต โดยมีข้อความดังนี้
ต่างชาติแทรกแซงไทยหรือไม่และต้องทำอย่างไร Foreign Interference: What to do for Thailand
การเคลื่อนไหวของต่างชาติที่เพิ่มขึ้น
การเคลื่อนไหวของทูตานุทูต ชาวต่างชาติ รวมทั้งกลุ่มองค์การระหว่างประเทศหรือองค์กรภาคประชาสังคม ทั้งที่อยู่ในเมืองไทยและในต่างประเทศ อย่างที่เห็นเป็นระยะ ๆ หรือเช่นที่เป็นข่าวตลอดเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ในความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ทำกันมายาวนาน เป็นระบบ และอย่างต่อเนื่อง
เป็นการกระทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของแต่ละชาติ หรือในบางกรณีก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนบุคคลด้วย ในอนาคต การเคลื่อนไหวเหล่านั้นจะเพิ่มขึ้นตามผลประโยชน์ต่าง ๆ ของนานาชาติที่ผูกพันกับไทยมากขึ้นตามลำดับ
- มุมมองที่แตกต่างกันในเรื่องการแทรกแซงของต่างชาติ
แต่ความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของต่างชาติในครั้งนี้ ทั้งในกรณียุบพรรคการเมืองและตัดสิทธินักการเมือง ทั้งในกรณีการให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ซึ่งทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะรวมทั้งบุคคลที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งต้องสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งตามไปด้วยนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากหลายฝ่าย
ทั้งยังเกิดข้อสงสัยขึ้นอีกหลายประการ เช่น เป็นการการแทรกแซงกิจกรรมภายในประเทศของไทยหรือไม่ เหมาะสมหรือถูกต้องหรือไม่ ผู้ที่รับผิดชอบทั้งรัฐบาล หน่วยงานต่าง ๆ ควรจะต้องทำอย่างไร ทั้งนี้รวมทั้งภาคประชาสังคมและประชาชนโดยทั่วไปด้วย
ในข้อเท็จจริงแล้ว การไม่แทรกแซงอธิปไตยหรือกิจการภายในของแต่ละประเทศนั้น เป็นหลักการสำคัญหลักการหนึ่งใน 4 ข้อของสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia) ในปีค.ศ. 1648 หรือเมื่อ 376 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานในการก่อตั้งระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยใหม่ที่นานาชาติยึดถือกันมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ในทางปฏิบัติ หลักการนี้ถูกละเมิดหรือละเลยบ่อยครั้ง ทั้งนี้โดยใช้เหตุผลเพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ (National Interests) ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบตัวใครตัวมัน (self help) ซึ่งไม่มีประเทศใดมีสิทธิหรือสถานะเหนือประเทศอื่น และแต่ละชาติก็สามารถทำอะไรก็ได้ที่จะรักษาผลประโยชน์แห่งชาติตนเป็นเหตุผล
แต่ในส่วนการเคลื่อนไหวของต่างชาติต่อไทยดังกล่าวในปัจจุบัน สังคมไทยมองเป็น 2 ด้าน คือ:
2.1) ในด้านหนึ่ง หลายคนมองว่าความเคลื่อนไหวเหล่านั้นถูกต้องหรือเหมาะสมแล้ว เหตุเพราะต่างชาติมีความกังวลเช่นเดียวกับคนไทยส่วนหนึ่งในเรื่องการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย และเห็นสอดคล้องกับแถลงการณ์ของหลายชาติในคดียุบพรรคฯ ว่าคำตัดสินของศาลฯ ได้ “ริดรอนสิทธิ์” ของคนที่ออกมาเลือกตั้ง เป็นการ “บั่นทอน” ความก้าวหน้าของกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย
“ทำให้เกิดคำถามในเรื่องความมุ่งมั่นของไทยในการรักษาหลักสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม” ขัดกับ “ความปรารถนาของคนไทยที่ต้องการจะมีประชาธิปไตยที่เข้มแข็งในอนาคต” และยังเห็นอีกว่าคำตัดสินดังกล่าวทำให้ “ความเป็นตัวแทนของประชาชน” ลดความหมายลงและทำให้คน “กว่า 14 ล้านคนในจำนวน 39 ล้านคนที่ออกมาใช้สิทธิเลือกพรรคการเมืองของตน” เมื่อปีที่แล้ว ไม่มีตัวแทนอันชอบธรรมในรัฐสภา
อีกทั้งยังมองว่าการบังคับใช้กฏหมายหลายฉบับของไทยนั้น “ไม่ชอบธรรม“ หรือ “ไม่เป็นธรรม” และ “เป็นอาวุธ” ทางการเมืองเพื่อจะกำจัดจัดฝ่ายที่เห็นต่าง ซึ่งในกรณีนี้ต่างก็เห็นว่าฝ่ายที่ถูกกระทำนั้นเป็นฝ่ายที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎรเป็นจำนวนมากที่สุดในการเลือกตั้งอีกด้วย
ส่วนในคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีทำผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงในกรณีเสนอชื่อแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ขาดคุณสมบัติ จึงเป็นลักษณะต้องห้ามและทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลงนั้น
หลายชาติรวมทั้งสื่อมวลชนนานาชาติและองค์กรภาคประชาสังคมระหว่างประเทศ ให้ความเห็น เช่น “คาดว่าการเปลี่ยนผ่านอำนาจจะราบรื่น” หรือเรียกร้องให้ไทย “ดำเนินการเพื่อรับประกันการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพลเมืองและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม รวมทั้งปกป้องประชาธิปไตยและเสรีภาพในการรวมกลุ่มและแสดงความคิดเห็น”
หรือบางกลุ่มก็แสดงความสงสัยไม่แน่ใจว่าจะ “เกิดความวุ่นวายหรือการแทรกแซง” ทางการเมืองอีกหรือไม่ รวมทั้งบางองค์กรภาคประชาสังคมต่างชาติก็มองว่า “ไทยเข้าสู่ยุคมืดของการทำลายประชาธิปไตย” เป็นต้น
ดังนั้น คนที่มองว่าความเคลื่อนไหวเหล่านี้นั้นดีแล้วหรือเหมาะสมแล้ว จึงคิดว่าการพบปะพูดจาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับต่างชาติก็ดี การให้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ดี การแสดงความสนับสนุนหรือเห็นอกเห็นใจกันก็ดี หรือแม้แต่การเชื้อเชิญหรือแนะนำเข้ามาดำเนินการบางอย่างก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย (ในแนวเสรีนิยมตะวันตก) ทั้งสิ้น
ซึ่งก็เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและต่อคนไทยโดยรวมด้วย อีกทั้งความเคลื่อนไหวของต่างชาติเหล่านั้น ยังเป็นการกดดันฝ่ายตรงข้ามมิให้มีการกระทำที่เกินเลย หรือช่วยบังคับวิถีการเมืองของไทยให้เป็นไปในกรอบหรือตามแนวทางตนต้องการ เหตุเพราะประเทศหรือองค์กรเหล่านั้น ต่างล้วนมีอำนาจมีอิทธิพลและมีบทบาทสำคัญในเวทีการเมืองโลกทั้งสิ้น
2.2) แต่ในอีกด้านหนึ่ง ยังมีอีกคนอีกกลุ่มมองว่าเหตุเพราะประเทศไทยเป็นประเทศเอกราช มีกระบวนการทางการเมือง กระบวนการยุติธรรมและสังคมของตนเองมาช้านาน มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างจากชาติอื่น ดังนั้น คดีความต่าง ๆ ในไทย ก็เป็นไปตามตัวบทกฏหมายของไทย และหากคนไทยเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็สามารถใช้กระบวนการภายในประเทศปรับเปลี่ยนหรือแก้ไข
ดังนั้น การที่ต่างชาติเคลื่อนไหวหรือแสดงพลังทางการเมืองเพื่อที่จะเปลี่ยนหรือบังคับวิถีดังกล่าว จึงเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ ไม่เป็นไปตามกติกา ข้อตกลง หรือหลักการในสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (1648) ที่เป็น “กติกาสากล” อีกทั้งยังผิดมารยาททางการทูต ผิดธรรมเนียมปฎิบัติระหว่างประเทศ
ซึ่งหากใครได้อ่านแถลงการณ์หรือได้พิจารณาถ้อยแถลงหรือการกระทำของต่างชาติเหล่านั้นอย่างครบถ้วนและรอบด้านแล้ว ก็น่าจะสรุปได้ด้วยตนเองว่าเป็นการแทรกแซงที่ละเมิดอธิปไตยของไทย โดยเฉพาะเป็นการกระทำที่ขัดกับผลประโยชน์แห่งชาติของไทย
เพราะได้บ่อนทำลายชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์ของประเทศและของคนไทยโดยรวม ทำให้นานาชาติเข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ซึ่งทั้งหมดนี้ ส่งผลกระทบต่อบทบาทของไทยในเวทีโลก รวมทั้งกระทบต่อการลงทุนค้าขายกับไทยในอนาคต
นอกจากนี้ อีกหลายคนยังคิดว่าการกระทำดังกล่าว กระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่ว่าเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ กระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระ รวมทั้งศาลและกระบวนการยุติธรรมของไทยโดยรวมอีกด้วย
ทั้งนี้ เพราะมีการกล่าวหาและพาดพิงอย่างไม่สมเหตุสมผล และไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อกฏหมายหรือข้อเท็จจริง ในบางกรณีถึงกับเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงผลการพิพากษา ข่มขู่รัฐบาล และคุกคามความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยอีกด้วย
- คำถามสำคัญที่นำไปสู่การปฏิบัติที่เหมาะสม
มุมมองที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วนั้น ตอกย้ำความขัดแย้งเดิมในสังคมไทยให้มากขึ้น และยังทำให้เกิดปฎิกิริยาที่แตกต่างกันต่อการกระทำของต่างชาติเหล่านั้น เช่น บ้างก็ชี้แจงทำความเข้าใจ บ้างก็เรียกร้องให้หยุดการกระทำ บ้างก็คิดว่าเป็นปกติ บ้างก็เห็นดีด้วย บ้างก็สนับสนุนหรือส่งเสริมให้มีการดำเนินการเช่นนี้อีก ซึ่งความไม่เป็นเอกภาพเช่นนี้ ทำให้การดำเนินการเพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติไม่ได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น
ในส่วนของรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์เน้นย้ำจุดยืนและหลักการของไทยตามกติกาสากลโดยได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาอย่างแข็งขัน ส่วนฝ่ายบริหารก็ได้เน้นย้ำว่านานาชาติไม่สามารถแทรกแซงไทยได้ รวมทั้งชี้ให้เห็นถึง “ความหวังดี” หรือ “ข้อเสนอแนะ” ที่เป็นประโยชน์ต่อไทยด้วย
แต่จะเพียงพอหรือไม่ และที่สำคัญคือแนวทางดังกล่าวนี้ถูกต้องและเหมาะสมแล้วหรือยัง เป็นผลดีกับไทยในอนาคตหรือไม่ และปิดโอกาสไม่ให้มีการกระทำในทำนองเดียวกันนี้ได้หรือไม่ โดยเฉพาะไม่ให้องค์กรอิสระของไทยต้องกลายมาเป็นคู่ขัดแย้งกับต่างชาติเหล่านั้นโดยตรงอย่างที่เกิดขึ้น
ดังนั้น คำถามสำคัญ คือ ไทยควรจะมีการดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์แห่งชาติอย่างไร นโยบายการต่างประเทศที่สมดุลคืออะไร
สุดท้ายแล้ว ประชาชนคนไทยทั่วไปจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยกันรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของคนไทยทุกคน
- การจัดการกับต่างชาติกลุ่มที่เป็นปกติ กลุ่มที่ไม่เป็นปกติ และกลุ่มที่ผิดปกติ
คำตอบขึ้นอยู่กับการแยกแยะพฤติกรรมของต่างชาติเหล่านั้นให้ชัดเจนและหาแนวบริหารจัดการกับต่างชาติเหล่านั้นอย่างเหมาะสมตามพฤติกรรมที่กระทำ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพฤติกรรมหรือการกระทำของต่างชาติจะแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ในทุกประเทศ คือ:
1) กลุ่มที่เป็นปกติ
2) กลุ่มที่ไม่เป็นปกติ
3) กลุ่มที่ผิดปกติ
4.1) กลุ่มที่เป็นปกติ
คือมีพฤติกรรมตามปกติของการทูตหรือการเมืองระหว่างประเทศ เช่น มีตัวแทนที่เป็นทางการ ออกแถลงการณ์ตามแบบของการทูต เรียกร้องอย่างเปิดเผย โดยมีข้อมูลรอบด้าน มีเหตุมีผลตามกติกาสากล และที่สำคัญ มีจุดยืนที่ชัดเจนในการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติตน
นอกจากนี้ ก็ใช้ช่องทางปกติทางการทูตเป็นหลัก ปฏิบัติตามกฏระเบียบและพิธีการต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง เช่น ใช้ถ้อยคำรัดกุม กระทำอย่างเปิดเผย และใช้บุคลากรที่มีตำแหน่ง อำนาจ หน้าที่ที่ชัดเจน ซึ่งในกลุ่มนี้ ประกอบด้วยประเทศต่างๆ องค์การระหว่างประเทศ องค์กรเอกชน กลุ่มบุคคลหรือตัวบุคคล ที่ดำเนินการอย่างเป็นทางการ มีพฤติกรรมที่เป็นปกติ
ในกลุ่มนี้ แนวทางการตอบรับต่อความเคลื่อนไหวของต่างชาติเหล่านั้น ซึ่งมักเรียกกันว่าเป็น “ความหวังดี” เป็น “เพื่อนที่ดี” เป็น “พันธมิตร” หรือเป็น “หุ้นส่วน” กัน ก็ควรจะเป็นไปตามปกติ คือเป็นไปตามระเบียบพิธีทางการทูตและการต่างประเทศ เป็นไปตามสนธิสัญญา ข้อตกลง หรือการต่างตอบแทนตามปกติ
โดยเฉพาะหากมีผลประโยชน์ที่สอดคล้องกัน ก็จะไม่เป็นปัญหามากนักและไม่ยากที่จะดำเนินการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ เพราะต่างก็มีนโยบายหรือหลักปฏิบัติกันอยู่แล้ว
ที่สำคัญ ไม่ควรจะเกิดความขัดแย้งหรือเผชิญหน้ากันกลุ่มนี้ถ้าไม่จำเป็น โดยเฉพาะกับประเทศมหาอำนาจหรือชาติที่เข้มแข็งกว่า และหากเห็นต่างกันหรือเริ่มจะขัดแย้งกัน ก็จะต้องชี้แจงหรือทำความเข้าใจกันหรือต้องเจรจาต่อรองกันโดยใช้ช่องทางปกติ
ทั้งนี้ จะต้องคำนึงว่า ประเทศเหล่านั้นก็มีผู้นำ เจ้าหน้าที่ และประชาชนที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์แต่ประเทศเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศเหล่านั้นก็ย่อมต้องรักษาผลประโยชน์ของเขาเป็นปกติ ในทำนองเดียวกัน หากประเทศใดจะต้องรักษาผลประโยชน์ของตนในเรื่องเดียวกันแล้ว ก็คงจะทำอย่างเดียวกันหรือคล้าย ๆ กันเป็นปกติเช่นกัน
แนวทางดังกล่าวข้างต้นนี้ เป็นแนวทางหลักที่ผู้นำฝ่ายการเมืองของไทยหรือฝ่ายประจำที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ใช้เป็นแนวทางดำเนินการมาตั้งแต่อดีตถึงในปัจจุบัน ซึ่งโดยทั่วไปก็ได้ผลดีและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอะไรมากขึ้นให้กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แต่แนวทางนี้ จะไม่ครอบคลุมกลุ่มที่มีพฤติกรรมไม่ปกติหรือกลุ่มที่ผิดปกติ ซึ่งทั้งสองกลุ่มหลังนี้ ปัจจุบันมีมากขึ้นในโลกสมัยใหม่ที่ไร้พรมแดน ดังนั้น หลายประเทศจึงแยกแยะพฤติกรรมและการกระทำของต่างชาติเหล่านั้นอย่างชัดเจน และมีนโยบายหรือการปฏิบัติที่เหมาะสมต่อแต่ละกลุ่ม
โดยจะเห็นได้ว่าหลายประเทศ มีความตื่นตัวหรือทำความเข้าใจกันในเรื่องการแซงแทรกของต่างชาติมากขึ้น มีการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการออกกฏหมายใหม่ ๆ มาควบคุมหรือป้องกันพฤติกรรมการแทรกแซงของต่างชาติเพิ่มขึ้นอีกด้วย
4.2) กลุ่มที่ไม่เป็นปกติ
คือกลุ่มที่มีพฤติกรรมไม่ปกติทางการทูตหรือการเมืองระหว่างประเทศ เช่น ผิดมารยาททางการทูตหรือผิดธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศ กระทำการนอกเหนือจากแนวทางปกติ แต่ไม่ได้ทำผิดกฏหมายหรือผิดข้อตกลงระหว่างประเทศอย่างชัดเจน จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการกับกลุ่มนี้ได้ง่าย
โดยเฉพาะหากมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่อาศัยสถานะภาพหรือตำแหน่งที่เป็นทางการ แต่มีแรงจูงใจพิเศษบางอย่าง เช่น ฝักใฝ่หรือหมกมุ่นในทางการเมือง เน้นความได้เปรียบทางเศรษฐกิจเกินควรหรืออื่น ๆ ที่สำคัญคือบางคนก็มีผลประโยชน์ทับซ้อนส่วนตัวแอบแฝงอีกด้วย
เช่น ต้องการดำรงตำแหน่งในประเทศนั้น ๆ ยาวนานขึ้นเพราะดีกว่าจะกลับไปประเทศของตน หรือหากกลับก็ต้องการตำแหน่งที่สูงขึ้นเป็นกรณีพิเศษ หรือบางคนก็ต้องการทำงานกับภาคประชาสังคมหรือภาคเอกชนที่มีรายได้สูงขึ้นหลังหมดวาระ หรือพำนักต่อในประเทศนั้น ๆ อย่างถาวรเพื่อคงประโยชน์ส่วนตัวไว้ เป็นต้น
ความไม่ปกติเหล่านั้นสังเกตได้หากเฝ้าดูพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด เช่น ฝักใฝ่เลือกหรือข้างทางการเมืองเป็นพิเศษ มีความสัมพันธ์หรือพบปะกับบางกลุ่มมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ สนับสนุนหรืออำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับกลุ่มที่ตนสนับสนุน เช่น ให้รางวัล ให้ผลประโยชน์ต่าง ๆ หรือให้เดินทางไปต่างประเทศ ให้พบบุคคลสำคัญ ให้ใช้สถานที่ที่เป็นทางการของตน หรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์
ในทางกลับกันก็ขัดขวาง ต่อต้าน ลดหรือระงับการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ หรือด้อยค่ากลุ่มตรงข้ามด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างแยบยล รวมทั้งมีการดำเนินการอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือแนวทางทางปกติทางการทูต
เช่น ใช้สื่อสมัยใหม่ในการสื่อสารอย่างล่อแหลมและหมิ่นเหม่ ใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ที่ยากต่อการตรวจจับ ปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ไม่ควรจะเป็น มีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือการแสดงออกที่ล่อแหลม
และที่สำคัญ มีการทำรายงานหรือส่งข้อมูลที่บิดเบือนคลาดเคลื่อนไปยังรัฐบาลหรือประเทศของตน รวมทั้งสนับสนุนหรือเผยแพร่บทความ รายงานทางวิชาการ หรือหนังสือที่มีเนื้อหาไม่ตรงกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ
ซึ่งในที่สุดแล้ว นำไปสู่การมีนโยบายหรือมีการปฎิบัติที่ไม่สมเหตุสมผลหรือไม่เป็นปกติของประเทศหรือของหน่วยงานนั้น ๆ ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของหลายประเทศอย่างที่เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้วในหลายประเทศ
ปัจจุบันหลายประเทศประสบกับปัญหาจากการกระทำของกลุ่มที่สองนี้มากขึ้น เพราะดูเหมือนกับว่าจะได้ผลดีกว่าการดำเนินการทางการทูตแบบปกติ อีกทั้งกฎหมายหรือข้อตกลงเดิม ๆ นั้นล้าสมัยและไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการพฤติกรรมที่ซับซ้อนดังกล่าว และหลายประเทศขาดแคลนงบประมาณ เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่จะเฝ้าสังเกตพฤติกรรมที่ไม่ปกติเหล่านั้น
ประกอบกับหลายประเทศเปิดหรือสนับสนุนให้ต่างชาติเข้าประเทศได้อย่างเสรี จึงทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากขึ้น ดังนั้น หลายประเทศจึงมีการปรับปรุงหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
รวมทั้งตรากฏหมายใหม่ ๆ หรือออกนโยบายเป็นการเฉพาะเพื่อป้องกันการแทรกแซงจากต่างประเทศ (Foreign Interference Act/Foreign Interference Law) เช่น ประเทศอังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย หรือสหภาพยุโรป
รวมทั้งหลายประเทศในอาเซียนก็มีกฏหมายควบคุมการแทรกแซงของต่างชาติโดยเฉพาะ (สิงค์โปร์) หรือควบคุมการดำเนินการขององค์กรภาคประชาสังคมเป็นกรณีพิเศษ (กัมพูชา สปป.ลาว อินโดนีเซีย มาเลเซีย)
ในส่วนของไทย ยังไม่มีกฏหมายเป็นการเฉพาะในเรื่องการต่อต้านการแทรกแซงของต่างชาติ (นอกจากร่างกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการขององค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งก็ยังมีข้อถกเถียงหลายประการในเรื่องความจำเป็นหรือเหมาะสม)
ที่สำคัญ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่มีความพร้อมมากนัก และประชาชนโดยทั่วไปก็ยังมีมุมมองที่แตกต่างและขัดแย้งกันในเรื่องนี้อีกด้วย ดังนั้น หากมีการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้น มีการเพิ่มประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่และหน่วยงาน และมีการแก้หรือออกกฎหมายเฉพาะด้านนี้เช่นในประเทศต่างๆ ที่กล่าวแล้ว ก็น่าจะทำให้การแทรกแซงของต่างชาติหรือพฤติกรรมที่ไม่ปกติหรือไม่เหมาะสมเหล่านั้นลดลงไปได้
ที่สำคัญคือ ประชาชนทั่วไปสามารถช่วยสังเกตการณ์หรือช่วยดำเนินการในส่วนนี้ได้ด้วย เช่น รายงานพฤติกรรมที่น่าสงสัย เรียกร้องหรือทักท้วงการกระทำที่ไม่เหมาะสม ผิดมารยาทหรือผิดกติการะหว่างประเทศ รวมทั้งช่วยผลักดันให้มีการปรับปรุงขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแก้ไข ปรับปรุงหรือออกกฏหมายต่าง ๆ ที่จะช่วยป้องกันหรือควบคุมการแทรกแซงจากต่างประเทศ
4.3) กลุ่มที่ผิดปกติ
คือกลุ่มที่มีพฤติกรรมหรือการกระทำที่ผิดกฏหมาย หรือผิดข้อตกลงระหว่างประเทศต่าง ๆ อย่างชัดเจน และเป็นอันตรายและสุ่มเสียงต่อความเสียหายต่าง ๆ ในประเทศนั้น ๆ เช่น การเข้าเมืองที่ผิดกฏหมาย การลักลอบค้ายาเสพติดหรือค้าอาวุธ การสนับสนุนหรือส่งเสริมความรุนแรงหรือการสู้รบ การทำจารกรรมในด้านต่าง ๆ การติดสินบนเจ้าหน้าที่
หรือแม้แต่กระทั่งการลอบทำร้ายหรือลอบสังหารบุคคลสำคัญ เป็นต้น ซึ่งการกระทำต่าง ๆ เหล่านี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วในแทบทุกประเทศ ซึ่งตัวบุคคลและกลุ่มบุคคลที่แอบแฝงหรือซ่อนเร้นการกระทำต่างๆ เหล่านั้น อาจจะอยู่ในหน่วยงาน องค์การ องค์กร หรืออื่น ๆ ก็ได้ หรือเป็นอิสระและปฏิบัติการตามลำพังก็ได้
เช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้เจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ถูกสอบสวนและถูกปลดเพราะไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายในตะวันออกกลาง หรือในกรณีที่สหรัฐฯ ขอให้ประเทศแคนาดาจับกุมผู้บริหารบริษัทหัวเหว่ยที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านในปี 2562 ซึ่งตามมาด้วยกรณีจีนจับกุมอดีตนักการทูตและนักธุรกิจชาวจีนในข้อหาความมั่นคง
และในกรณีศาลจีนตัดสินเพิ่มโทษชาวแคนาดา จากจำคุกจาก 15 ปีเป็นโทษประหารชีวิตในข้อหาค้ายาเสพติด เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมและการกระทำที่ผิดปกติของเจ้าหน้าที่ทางการทูต หรือของบริษัทเอกชน องค์กรภาคประชาสังคม หรือกลุ่มบุคคลและตัวบุคคลบางคนของหลายประเทศเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ
ในประเทศไทยก็มีหลายกรณีที่เคยเกิดขึ้นหรือถูกตั้งข้อสังเกตไว้ เช่น การค้าอาวุธ (ดูรายงานของสหประชาชาติเกี่ยวกับการสู้รบในเมียนมา) การค้ามนุษย์ (ดูรายงานการค้ามนุษย์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ) การค้ายาเสพติดข้ามชาติ (ดูรายงานของสหประชาชาติ) การก่อการร้าย (ดูรายงานของสถาบันศึกษาความมั่นคงของประเทศต่าง ๆ)
การลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย การพยายามลอบสังหารบุคคลสำคัญ หรือลักลอบค้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์อาวุธนิวเคลียร์ (ดูรายงานขององค์การควบคุมการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์และของสำนักข่าวต่าง ๆ) เป็นต้น
ดังนั้น หลายประเทศจึงให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวและเพิ่มความร่วมมือกับมิตรประเทศในการดำเนินการป้องกัน จับกุม ดำเนินคดี ขับไล่หรือส่งกลับบุคคลเหล่านี้อย่างจริงจัง รวมทั้งขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีต้องห้ามหรือในกลุ่มที่ไม่พึงประสงค์หรือในกลุ่มก่อการร้าย เป็นต้น
แต่ในบางประเทศก็ไม่สามารถร่วมมือกันได้เหตุเพราะขัดแย้งกันทางการเมืองและผลประโยชน์ บางประเทศก็ปล่อยปละละเลยหรือไม่ได้ให้ความสำคัญ บางประเทศก็ไม่มีขีดความสามารถในการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ การกระทำเหล่านั้นจึงเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาหลายประการ ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของหลาย ๆ ประเทศในที่สุด
- สมดุลใหม่จะทำให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย
การที่จะมีนโยบายการต่างประเทศซึ่งเป็นนโยบายสาธารณะประเภทหนึ่ง ที่สมดุล และมีการบริหารจัดการกับต่างชาติอย่างเหมาะสมมีประสิทธิภาพนั้น จะต้องมาจาก:
1) ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศทั้งในอดีตและปัจจุบัน;
2) ประสิทธิภาพและความสามารถของบุคลากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยใหม่ รวมทั้งการมีกฎหมายหรือเครื่องมือใหม่ ๆ ในการดำเนินการ; และ
3) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน ทักท้วง ต่อพฤติกรรมของต่างชาติที่ไม่ปกติหรือผิดปกติ รวมทั้งช่วยผลักดันให้มีนโยบายหรือแนวทางที่ทันสมัยและสอดคล้องกับผลประโยชน์แห่งชาติของคนไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ จะช่วยให้เกิด “ความสมดุลใหม่” ในการต่างประเทศของไทย และจะทำให้คนไทยและมิตรประเทศของไทยโดยรวมได้ประโยชน์ยิ่งขึ้นในอนาคต