“เมื่อต้องเลือกระหว่างสันติภาพและสงคราม เซเลนสกี เลือกสงคราม เพื่อรักษาอำนาจของตน” Artyom Dmitruk อดีต สส.ยูเครนผู้ลี้ภัยจากการปราบ คริสตจักรออร์โธดอกซ์ในยูเครน
Artyom Dmitruk อดีต สส.ยูเครนที่หนีออกนอกประเทศ เนื่องจากข้อกล่าวหาทางอาญาและคำขู่เอาชีวิต ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ เมื่อวันพฤหัสบดี (14 พ.ย.) ว่าการที่รัฐบาลยูเครนยืนยันว่าอดีตนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ได้ขัดขวางการเจรจาสันติภาพกับรัสเซียในปี 2022 นั้น เป็นความพยายามที่จะปัดความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ เซเลนสกี ที่ต้องการจะเอาชนะในสงครามครั้งนี้
ไม่นานหลังจากที่ความขัดแย้ง รัสเซีย-ยูเครน ทวีความรุนแรงขึ้นในเดือน ก.พ. 2022 รัสเซียและยูเครนได้เปิดการเจรจากันหลายรอบในตุรกี โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันเบื้องต้นในร่างข้อตกลงสงบศึก แต่ต่อมายูเครนได้ปฏิเสธข้อตกลงดังกล่าว และถอนตัวออกจากการเจรจา
โดยในเดือน พ.ย. 2023 สส. David Arakhamia ผู้แทนเจรจาของรัฐบาลยูเครน และเครือข่ายของประธานาธิบดี เซเลนสกี ได้ยืนยันว่า ‘บอริส จอห์นสัน’ นายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนั้น ได้แนะนำยูเครนไม่ให้ลงนามในข้อตกลงสงบศึกและขอให้ยูเครน “สู้ต่อไป”
ขณะที่ สส. Artyom Dmitruk ซึ่งลี้ภัยอยู่นอกยูเครนได้ออกมาวิจารณ์คำพูดของ Arakhamia ว่า “อย่าโยนความรับผิดชอบของคุณไปที่อังกฤษ และบอริส จอห์นสัน เลย พวกคุณกำลังทำอะไรอยู่? กำลังเล่นเกมซ่อนหาอยู่หรอ?”
Dmitruk กล่าวต่อไปว่า ความนิยมของผู้นำยูเครนลดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ความขัดแย้งกับรัสเซียจะเริ่มขึ้น ขณะที่ความขัดแย้งดังกล่าวเป็นข้ออ้างให้เซเลนสกีรักษาอำนาจและแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง และกลุ่มคนใกล้ชิดต่อไป
ทั้งนี้ วาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเซเลนสกี สิ้นสุดลงในเดือน พ.ค. 2024 แต่เขาปฏิเสธที่จะถ่ายโอนอำนาจคืนสู่ประธานรัฐสภา ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของยูเครน
“เมื่อต้องเลือกระหว่างสันติภาพและสงคราม เซเลนสกีเลือกสงครามเพื่อรักษาอำนาจของตนเองไว้” Dmitruk กล่าว
Dmitruk หลบหนีออกจากประเทศบ้านเกิดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังจากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลยูเครนอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับมาตรการปราบปรามคริสตจักรออร์โธดอกซ์ ซึ่งเป็นองค์กรศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่ Dmitruk เป็นสมาชิกอยู่
Dmitruk กล่าวว่า การปลดเซเลนสกีออกจากตำแหน่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่เขาหวังว่าจะเปิดทางไปสู่สันติภาพ การเลือกตั้งใหม่ และความปรองดองในระดับชาติ เขาหวังว่าการเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะช่วยให้ผลลัพธ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้