
ดราม่าน้ำเปล่าแพง การปะทะกันของแนวคิดในการบริหารจัดการรัฐและเศรษฐกิจ ที่เริ่มก่อตัวให้เห็นชัดมากขึ้นในยุคที่ทุกคนมีสื่อของตัวเอง
เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีเพจ Influencer ชื่อดังรายหนึ่ง ได้ถ่ายภาพน้ำดื่มบรรจุในขวดแก้วของโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวแห่งหนึ่งที่มีอายุอานามของแบรนด์เกือบ 150 ปี และมีสาขา 40 แห่งทั่วโลก พร้อมระบุว่า น้ำเปล่าขวดนี้มีราคาแพงเหลือเกิน คือ 300ml ราคาตั้ง 65 บาท
พร้อมกันนั้นอินฟลูเอนเซอร์เจ้านี้ยังได้เสนอว่า ภาครัฐควรมีกฎหมาย “ควบคุมราคาน้ำดื่ม” ไม่ให้แพงขนาดนี้ พร้อมระบุในคอมเมนต์ด้วยว่า สถานที่ถ่ายภาพนี้ไม่ใช่ในโรงแรม แต่เป็นร้านคาเฟ่ของโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าหรูย่านสยามแสควร์ และน้ำดื่มขวดนี้ก็ไม่ใช่น้ำแร่ด้วย ดังนั้นถ้าอยากจะขายแพงก็ขายเป็นน้ำแร่ หรือไม่ก็ควรมีน้ำเปล่าราคาไม่แพงให้ลูกค้าเลือกด้วย
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความเห็นแบ่งเป็น 2 ฝ่าย
[1] ฝ่ายที่สนับสนุนแนวคิดของเพจ ให้เหตุผลว่าน้ำดื่มเป็น “สินค้ากึ่งบังคับซื้อ” ทุกคนควรเข้าถึงน้ำดื่มที่มีราคาถูก และถ้าเกิดไม่ควบคุม เกิดมีผู้ประกอบการบ้าจี้ตั้งราคาน้ำดื่มธรรมดาขวดละเป็นพัน ผู้ค้าที่เข้าไปทานอาหารจะทำอย่างไร เหมือนต้องถูกบังคับกินน้ำเปล่าขวดเป็นพันหรือ?
ขณะที่บางคนก็บอกว่า เจ้าของเพจเพียงแค่ต้องการจุดประเด็นว่าน้ำเปล่าในโรงแรมไม่ควรมีราคาสูงเกินไป บ้างก็ให้ความเห็นว่าเชิงเหยียดประเทศโดยระบุว่า ต่างประเทศหรือประเทศเจริญแล้ว เขามีน้ำดื่มให้บริการฟรีในร้านอาหารด้วยซ้ำ (ซึ่งจริงๆ ตามร้านข้างทางในเกือบทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทยก็มีน้ำดื่ม/น้ำก๊อกให้ดื่มฟรีกันทั่วไปอยู่แล้ว)
[2] ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของเพจ (ซึ่งเป็นความเห็นส่วนใหญ่กว่า 90% จากความเห็นทั้งหมด) ซึ่งเห็นตรงกันว่าในตลาดการค้าเสรี ผู้ประกอบการมีสิทธิตั้งราคา และราคานั้นไม่ได้มีแค่น้ำเปล่า แต่ยังค่าแบรนด์ ค่าบรรจุภัณฑ์ตราโรงแรม ค่าบริการในพื้นที่ร้านคาเฟ่ หรือในโรงแรม
ซึ่งโรงแรมดังกล่าวก็เป็นโรงแรมหรูที่ได้รับการจัดอันดับท็อปของโลกจากนิตยสารระดับนนานาชาติเป็นประจำแล้วจะให้มาขายน้ำเปล่าขวดละ 10 บาทหรืออย่างไร
บ้างก็บอกว่าร้านอาหารหรือคาเฟ่หรู เขามีราคาอาหารและเครื่องดื่มให้ดูอยู่แล้ว ทั้งหน้าร้าน และในร้าน หากไม่พอใจก็ไม่ต้องเข้าไปทานหรือไปใช้บริการของเขา แต่ไม่ใช่ไปบังคับให้คนอื่นห้ามตั้งราคาที่เขาเห็นว่าเหมาะสม บางคนก็บอกว่า แบบนี้พวกผับบาร์ที่ขายน้ำแข็งถังละ 50-100 บาท หรือ โซดา ขวดละ 50 บาทก็ให้รัฐออกกฎหมายเข้าไปควบคุม บังคับผู้ประกอบการทุกคนด้วยหรือไม่ หากคิดแบบเดียวกับที่เจ้าของเพจเสนอ
ในแง่การบริหารจัดการรัฐ อาจกล่าวได้ว่าโพสต์นี้เป็นการปะทะกันของ 2 แนวคิด คือ
[1] สังคมนิยม ซึ่งมองว่ารัฐจะต้องเข้ามาควบคุมดูแลทุกย่างก้าวชีวิตของประชาชน ทั้งข้าวของ ราคาสินค้า หรือแม้แต่แนวทางในการปฏิบัติและใช้ชีวิตของประชาชน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและประโยชน์ต่อส่วนรวมโดยไม่มีใครเอาเปรียบใคร
[2] เสรีนิยม ซึ่งมองว่าการค้าขายเป็นของของตลาดเสรี รัฐไม่ควรเข้าไปควบคุม หรือหากจะควบคุมก็มีเพียงสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของประชาชนทั่วไป แต่ไม่ใช่สินค้าและบริการที่หรูหราฟุ่มเฟือย ซึ่งประชาชนมีสิทธิเลือกจะใช้บริการด้วยความพึงพอใจของตน
แน่นอนว่าแม้โพสต์ดังกล่าว คนส่วนใหญ่ค่อนข้างจะเห็นตรงกันกับแนวทางเสรีนิยม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสแนวคิดสังคมนิยมในสังคมไทยเริ่มมาแรงมากขึ้นในช่วงสิบปีหลัง ซึ่งมีฝ่ายการเมืองและนักวิชาการจำนวนหนึ่งพยายามผลักดันแนวคิดว่าประชาชนทุกคนควรมีสิทธิเข้าถึงบริการที่ดีของภาคเอกชนได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะด้วยการเสนอ ‘รัฐสวัสดิการ’ บ้างหรือการนำ ‘สวัสดิการรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า’ หรือ ‘Universal Basic Income’ (UBI) มาใช้บ้าง
ด้วยสาเหตุนี้ทำให้ในช่วงหลังเริ่มปรากฏกลุ่มคนที่ออกมาโจมตีนายทุน หรือบริษัทห้างร้านเจ้าของกิจการรายใหญ่ ว่าเอาเปรียบและค้ากำไรเกินควรบ้าง
ตัวอย่างยอดฮิตอันหนึ่งก็คือ การโจมตีเบียร์ของบริษัทใหญ่รายหนึ่งซึ่งขายเบียร์ราคากระป๋องละสามสิบกว่าบาท ว่าเป็นนายทุนผูกขาดเอาเปรียบประชาชนส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันก็เชิดชูผู้ประกอบการเบียร์ท้องถิ่นที่ขายเบียร์กระป๋องละสองสามร้อยบาท ว่าเป็นเบียร์ของประชาชน
แต่เมื่อลองกลับมาคิดดูว่าประชาชนหาเช้ากินค่ำ ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยหรือเป็นชนชั้นกลางขึ้นไป จะเอารายได้ที่ไหนมาซื้อเบียร์กระป๋องละ 200-300 บาทได้ ขณะที่เบียร์นายทุนที่ถูกด่าว่าเอาเปรียบประชาชน กลับเข้าถึง “คนส่วนใหญ่” ของประเทศ และทำให้คนส่วนใหญ่ได้กินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในราคาย่อมเยา
ซึ่งความลักลั่นดังกล่าว และการปะทะกันของแนวคิดสองขั้ว ก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมไทย โดยเฉพาะในยุคที่ทุกคนมีโซเชียลมีเดีย และมีสิทธิในการนำเสนอความคิด ยิ่งทำให้การต่อสู้กันของแนวคิดต่างๆ จะยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิปาถะในชีวิตประจำวัน หรือลามไปจนถึงเรื่องการเมืองก็ตาม