ควรนำโครงการคลอง ร.1 มาขยายผลแก้ปัญหาน้ำท่วม ‘สส. ประชาธิปัตย์’ ชี้เป็นโครงการในพระราชดำริในหลวง ร. 9 ที่ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมในสงขลาอย่างได้ผล
แนะรัฐบาลขยายผลโครงการ “คลอง ร.1” วางแนวทางพัฒนาโครงสร้างการระบายน้ำจากภูเขาไหลสู่ทะเล ช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น แก้น้ำท่วมภาคใต้แบบยั่งยืน
นายสรรเพชญ บุญญามณี สส. สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกว่าสัปดาห์ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนอย่างหนักต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในฝั่งอ่าวไทย
สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเป็นประจำได้ ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการน้ำที่เป็นระบบ
จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาคลองระบายน้ำที่ถูกอุดตันด้วยขยะและพัฒนาทางน้ำให้สามารถไหลลงสู่ทะเลได้อย่างสะดวก พร้อมกับการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์
โครงการ “คลอง ร.1” ซึ่งเป็นพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่คณะรัฐมนตรี ปี 2543 ได้อนุมัติงบประมาณให้ดำเนินการที่หาดใหญ่ เป็นตัวอย่างสำคัญในการลดความรุนแรงของน้ำท่วม ซึ่งรัฐบาลควรมีการขยายผลการพัฒนาโครงการนี้ไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูงทั่วภาคใต้
โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งจังหวัดสงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการขาดแคลนระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในทุกปี
และหากสามารถพัฒนาโครงสร้างการระบายน้ำจากภูเขาให้ไหลลงสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็ว จะสามารถลดผลกระทบและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
นอกจากนี้ นายสรรเพชญ ยังขอให้รัฐบาลเร่งเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม พร้อมกับการวางแผนระยะยาวเพื่อบูรณาการการจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำทั่วประเทศ ซึ่งทราบว่า นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยและติดตามสถานการณ์น้ำท่วมด้วยตนเอง
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม และการขับเคลื่อนนโยบายระยะยาวที่ยั่งยืน เพราะการแก้ปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ไม่ใช่แค่การรับมือเฉพาะหน้า แต่ต้องเป็นการปฏิรูประบบการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ
และมีแนวทางแบบแผนที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมในการรับมือในระยะ 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี ข้างหน้า และรัฐบาลต้องแสดงความจริงใจกับประชาชนว่าในปีหน้าจะสามารถรับมือได้ และไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำขึ้นอีก เพื่อเป็นรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต