Newsเมื่อศัตรูของประชาธิปไตย อาจจะเป็นประชาธิปไตยเอง

เมื่อศัตรูของประชาธิปไตย อาจจะเป็นประชาธิปไตยเอง

คำว่า “ประชาฆาต” (democide) นั้นหมายถึงการฆาตกรรมบุคคลหรือประชาชนโดยรัฐบาล แต่นักทฤษฎีรัฐศาสตร์ได้ให้นิยามใหม่อีกความหมายหนึ่ง : การฆ่าตัวตายของระบอบประชาธิปไตย (democratic suicide) คือการที่ระบอบประชาธิปไตยถูกฆ่าทิ้งด้วยการทำลายตัวเอง

แนวคิดที่ว่าประชาธิปไตยนั้นมีเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายตัวเองบรรจุอยู่ภายใน ได้ถูกพูดถึงในงานของนักวิชาการท่านหนึ่งคือ มาร์ก โช (Mark Chou) ซึ่งเขียนเอาไว้ว่า “ความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นความเป็นไปได้ที่อาจกล่าวได้ว่าฝังตัวอยู่ทั้งในแนวคิดและอุดมคติของตัวระบอบประชาธิปไตยเอง” เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ตัวเลือกในการเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยนั้น คือความเป็นไปได้ในระบอบประชาธิปไตย

“การที่ทุก ๆ ระบอบประชาธิปไตยนั้นมีความเป็นไปได้ในการทำลายตัวเอง ซึ่งอยู่ในธรรมชาติของมันเอง คือความเป็นจริงที่น้อยครั้งที่จะถูกกล่าวถึงโดยสาวกของระบอบประชาธิปไตย” โช กล่าว “[พวกเขา]กลับเน้นที่จะกล่าวว่าระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นมีความยั่งยืนอย่างไร ชาวประชาธิปไตยนั้นมักที่จะเน้นย้ำไปที่ความยั่งยืนของประชาธิปไตย แต่ไม่เคยที่จะ[กล่าวถึง]ความเป็นไปได้ในการทำลายตัวเอง”

โช ชี้ให้เห็นถึงสองกรณีที่จะเกิดเหตุการณ์ประชาฆาต: เมื่อ “ประชาธิปไตยลงโทษการวิพากษ์วิจารณ์วิถีทาง[ประชาธิปไตย]ที่เป็นอยู่” และ “เหตุการณ์ที่ประชาธิปไตยค่อย ๆ บัญญัติให้มีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่แก่พลเมือง เพื่อป้องกันตนเองจากการคุกคาม[ต่อระบอบประชาธิปไตย]จากประชาชน” ทั้งการที่มี “ประชาธิปไตยมากไป” และ “มีประชาธิปไตยน้อยไป” นั้นก็มีโอกาสในการฆ่าระบอบนี้ได้ทั้งคู่

ขยายความจากแนวคิดของนักทฤษฎีรัฐศาสตร์ นาธาลี คารากิอานนิส (Nathalie Karagiannis) ที่กล่าวไว้ว่า “ประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองอันเป็นโศกนาฏกรรม” โช ได้กล่าวว่ามันไม่มี “กลไกที่มีประสิทธิภาพใด ๆ ในระบอบประชาธิปไตยที่จะหยุดยั้งไม่ให้ประชาธิปไตยถูกปูพื้นไปยัง[ระบอบที่]ตรงกันข้ามได้ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นความเสี่ยงต่อ[การทำลาย]ระบอบประชาธิปไตยนั้นเอง”

ระยะเวลาสิบห้าปีของสาธารณรัฐไวมาร์นั้นถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ระบอบประชาธิปไตยแบบไวมาร์นั้น โช ได้กล่าวไว้ว่าประกอบไปด้วย “ความแตกแยกทางสังคมและศาสนาที่ลึกซึ้ง, ภาวะเศรษฐกิจที่เกิดเงินเฟ้อ, วัฒนธรรมทางการเมืองที่เป็นขั้วตรงกันข้าม, และความไม่พอใจต่อตัวสาธารณรัฐเอง” การขึ้นมามีอำนาจของนาซีนั้น “เกิดขึ้นภายในและเป็นการช่วงชิงความได้เปรียบจากระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของไวมาร์เอง ซึ่งหลังจากนั้นมันก็ได้เข้ามารื้อทิ้งและต่อต้าน”

พลเมืองที่เกิดขึ้นในสาธารณรัฐนั้นเอง ก็กลับกลายเป็นผู้ที่เชื่อถือในกระแสประชานิยมของฝ่ายฟาสซิสต์ ถึงขนาดที่พวกเขาได้ไปยกเลิกสถานะพลเมืองของตัวเอง ฝ่ายชนชั้นนำเองก็มีส่วนอย่างมากในการเข้ามามีอำนาจของนาซี แต่กระนั้น ตลอดยุคไวมาร์ เสียงส่วนมากของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในไวมาร์นั้นสนับสนุนพรรคการเมืองที่ “ต่อต้านเสรีนิยม, ต่อต้านประชาธิปไตย, และต่อต้านระบอบรัฐสภา”

ในการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 1933 ซึ่งคือการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันกันอย่างจริงจังครั้งสุดท้ายจนกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะจบลง ฝ่ายนาซีนั้นได้เสียงโหวตร้อยละ 43.9 ซึ่งเมื่อร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาชนชาตินิยมเยอรมัน (German Nationalist People’s Party ; ซึ่งได้เสียงโหวตร้อยละ 8) ฝ่ายฟาสซิสต์ก็ได้เสียงส่วนมากในสภา—ซึ่งคือสภาที่พวกเขาได้ดำเนินการยุบภายในระยะเวลาสัปดาห์เดียวหลังจากการเลือกตั้ง เหตุการณ์ต่อมาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อำนาจรัฐนั้นได้ถูกใช้ผ่านคำสั่งฝ่ายบริหาร; ศาลพิเศษได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อจัดการศัตรูทางการเมือง; และพรรคการเมืองอื่น ๆ ก็ถูกแบน การเลือกตั้งปลอมก็ถูกจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 1933 ซึ่งพวกนาซีได้คะแนนเสียงร้อยละ 95.2 

พวกนาซีนั้นดำเนินการอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญของไวมาร์—แม้ว่าจะเป็น[การดำเนินการที่]คู่ขนานกันไป พวกเขากลับ “ละเมิดหลักการประชาธิปไตยอย่างชัดเจน จากการใช้กำลังและข่มขู่ทางการเมือง”

ดังนั้น ระบอบประชาธิปไตยควรจะต้องทำอย่างไร ในการปกป้องระบอบของมันเอง…จากตัวมันเอง? แนวคิดเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยที่ใช้กำลังทหาร (militant democracies) และการใช้กฎหมายฉุกเฉินนั้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเอง (paradoxical) นั่นก็เพราะ “ความพยายามในการตัดทอนหรือยับยั้งความเป็นไปได้ [ในเหตุประชาฆาต] ไม่ให้เกิดขึ้น สามารถที่จะมีความไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน จึงเป็นสิ่งที่เป็นภัยต่อประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน”

โช ยอมรับว่าการคิดแบบนี้สามารถนำไปสู่การมองชะตากรรมของประชาธิปไตยในแง่ร้าย แต่กระนั้น เขาก็เสนอว่า “ธรรมชาติอันเป็นโศกนาฏกรรมของระบอบประชาธิปไตย” นั้นสามารถมองเป็น “สิ่งหนึ่งที่ดี” ได้เช่นกัน ประชาธิปไตยนั้นคือการพนัน: คือการมีความกล้าพอที่จะยอมรับ “แนวคิดที่เป็นอันตรายหรือความพยายามในการปิดกั้น” และการรื้อทำลายมันนั้นแสดงให้เห็นว่า “จิตวิญญาณของประชาธิปไตยนั้นไม่สามารถเสื่อมลงและถูกทำลายได้จากการเปิดกว้างอย่างไม่มีเงื่อนไข”

 

#thestructure #ระบอบประชาธิปไตย #ทำลายตัวเอง #ด้านมืด

อ้างอิง :

[1] บทความ “Democide: An Inside Job?” โดย Matthew Wills จากนิตสารออนไลน์ JSTOR Daily

[2] อ้างอิงถึง Chou, Mark. “Sowing the Seeds of Its Own Destruction: Democracy and Democide in the Weimar Republic and Beyond.” Theoria: A Journal of Social and Political Theory, vol. 59, no. 133, 2012, pp. 21–49. JSTOR, http://www.jstor.org/stable/41802532. Accessed 21 Jul. 2022. 

อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า