NewsCPF แจงขั้นตอน นำเข้า-ทำลายปลาหมอคางดำ ชี้นำเข้ามา 2,000 ตัว มาถึงไทยก็ตายไปแล้ว 1,400 ตัว ที่เหลือทยอยตาย มีชีวิตในไทยเพียงแค่ 16 วัน

CPF แจงขั้นตอน นำเข้า-ทำลายปลาหมอคางดำ ชี้นำเข้ามา 2,000 ตัว มาถึงไทยก็ตายไปแล้ว 1,400 ตัว ที่เหลือทยอยตาย มีชีวิตในไทยเพียงแค่ 16 วัน

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ยื่นหนังสือให้ข้อมูลคณะกรรมาธิการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อชี้แจงรายละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การนำเข้าลูกปลาหมอคางดำ 2,000 ตัวจากประเทศกานา จนไปถึงขั้นตอนการทำลาย และส่งซากปลาให้กรมประมง โดยขั้นตอนทั้งผมดผ่านการตรวจสอบและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่กรมประมง

 

นายเปรมศักดิ์ วนัชสุนทร ผู้บริหารสูงสุดด้านการวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ CPF ตามที่คณะกรรมาธิการได้เชิญบริษัทเข้าร่วมการประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหารวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ในราชอาณาจักรไทยนั้น 

 

บริษัทได้ส่งหนังสือชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2553 บริษัทได้นำเข้าลูกปลาหมอคางดำขนาด 1 กรัม 2,000 ตัว ใช้เวลาในการเดินทาง 35 ชั่วโมง

เมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ได้เปิดกล่องโฟมบรรจุลูกปลาร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมประมง ที่ประจำ ณ ด่านกักกัน พบว่ามีลูกปลาตายจำนวนมาก 

 

และเมื่อมาถึงฟาร์มได้ตรวจคัดแยกพบว่ามีลูกปลาที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่เพียง 600 ตัวในสภาพที่ไม่แข็งแรง จึงนำลูกปลาที่ยังมีชีวิตลงในบ่อเลี้ยงซีเมนต์ แต่ลูกปลาได้ทยอยตายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสุขภาพไม่แข็งแรง

เนื่องจากลูกปลามีสุขภาพไม่แข็งแรง และมีจำนวนไม่เพียงพอต่อการทำวิจัย จึงโทรติดต่อปรึกษาเจ้าหน้าที่กรมประมง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนักวิชาการประมง 4 กลุ่มความหลากหลายทางชีวภาพสัตว์น้ำจืด ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบที่มีชื่อระบุอยู่ในหนังสืออนุมัตินำเข้า  ซึ่งได้รับคำแนะนำให้เก็บตัวอย่างใส่ ขวดโหลแช่ฟอร์มาลีนและให้นำมาส่งที่กรมประมง

 

ดังนั้นในสัปดาห์ที่ 2 ของการรับปลาเข้ามา จึงเก็บตัวอย่างจำนวน 50 ตัว ดองฟอร์มาลีนเข้มข้นเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน 

 

6 ม.ค. 2554 ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ 3 ปลาทยอยตายจนเหลือเพียง 50 ตัว บริษัทจึงตัดสินใจไม่ดำเนินโครงการต่อ และยุติการวิจัยทั้งหมด และได้ทำลายลูกปลาทั้งหมดด้วยการใส่คลอรีนลงในน้ำในบ่อเลี้ยงซีเมนต์เพื่อฆ่าเชื้อและทำลายลูกปลาที่เหลือ

 

7 ม.ค. 2554 นำซากลูกปลาทั้งหมดแช่ฟอร์มาลีนเข้มข้น 24 ชั่วโมง แล้วนำมาฝังกลบพร้อมโรยปูนขาว รวมระยะเวลาที่ลูกปลาเหล่านี้มีชีวิตอยู่ในเมืองไทย เพียง 16 วันเท่านั้น และขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปตามขั้นตอนที่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่กรมประมงท่านดังกล่าว

 

สำหรับการส่งตัวอย่างลูกปลาดองทั้งตัวในฟอร์มาลีนทั้งหมด 50 ตัว จำนวน 2 ขวด ขวดละ 25 ตัว ให้กรมประมงนั้น ได้ส่งให้กับคุณศิริวรรณที่กรมประมง ในวันที่ 6 ม.ค. 2554

 

โดยได้เดินทางไปที่กรมประมง และโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ท่านเดิมเรื่องการส่งมอบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อีกท่านหนึ่งลงมารับตัวอย่างแทน ที่ชั้น 1 อาคารจุฬาภรณ์ กรมประมง โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ขอให้ตัวแทนบริษัทกรอกแบบฟอร์มใดๆ ทำให้เข้าใจว่าการส่งมอบสมบูรณ์แล้ว

 

7 ปีต่อมาในปี 2560 มีข้อมูลจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนว่า มีการพบปลาหมอคางดำระบาดในพื้นที่สมุทรสงคราม กรมประมงจึงได้เข้าตรวจเยี่ยมฟาร์มยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ในวันที่ 1 ส.ค. 2560 ซึ่งกรมประมงตรวจไม่พบปลาหมอคางดำในบ่อเลี้ยง

จึงขอสุ่มตรวจบ่อพักน้ำซึ่งเชื่อมกับแหล่งน้ำธรรมชาติแทน ซึ่งบ่อพักน้ำ R2 มิได้เป็นส่วนของบ่อเลี้ยง มีเพื่อการกรองและฆ่าเชื้อทำความสะอาดก่อนนำน้ำเข้ามาใช้ในฟาร์ม

 

และเนื่องจากบ่อพักเป็นส่วนที่เชื่อมกับแหล่งน้ำธรรมชาติ จึงไม่แปลกที่จะพบปลาชนิดเดียวกันที่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำเดียวกัน และยังเข้าสู่ระบบการเลี้ยง

 

ดังนั้น การสุ่มในบ่อพักน้ำจึงไม่แปลกที่ปลาจะเป็นชนิดเดียวกันกับปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติ การนำมาเปรียบเทียบว่าเป็นปลาชนิดเดียวกันหรือไม่ จึงเป็นการตั้งสมมุติฐานที่ทราบคำตอบตั้งแต่ต้นว่าเป็นปลาชนิดเดียวกัน เพราะมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเดียวกัน

 

นายเปรมศักดิ์กล่าวย้ำว่า นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2554 บริษัทไม่มีการวิจัยหรือเลี้ยงปลาหมอคางดำอีกเลย และมั่นใจว่าไม่ได้เป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน 



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า