
จีนพัฒนาหุ่นฮิวแมนนอยด์ พลังงานแบตเตอรี่สู้กับ Tesla โดยจะใช้แทนที่แรงงานมนุษย์ในอุตสาหกรรมรถยนต์
ผู้ผลิตหุ่นยนต์จีนกำลังไล่ตาม Tesla ในการแข่งขันเพื่อสร้างหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ในสายการประกอบรถยนต์ไฟฟ้า
ในงานการประชุมหุ่นยนต์โลก (WRC) ประจำปี 2024 ที่กรุงปักกิ่งในสัปดาห์นี้ บริษัทจีนกว่า 20 แห่งได้จัดแสดงหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้งานในโรงงานและคลังสินค้า และยังมีบริษัทอื่นๆ อีกหลายบริษัทที่จัดแสดงชิ้นส่วนซึ่งจำเป็นต่อการสร้างหุ่นยนต์เหล่านี้
ในงานเดียวกัน Tesla ได้จัดแสดง ‘Optimus’ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ยืนอยู่ในกล่องกระจกอะครีลิกข้างๆ Cybertruck อย่างไรก็ดี Optimus ถูกแซงหน้าโดยหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ของจีนหลายตัวที่ โบกมือ เดินสองขา หรือแม้แต่ยักไหล่ แต่ก็ยังคงเป็นหนึ่งในหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและเต็มไปด้วยผู้คนที่มาถ่ายรูป
Tesla ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เป็นพื้นฐานการขับเคลื่อนการทำงานของ Optimus ซึ่งจำลองมาจากซอฟต์แวร์ “Full Self-Driving” สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งคู่แข่งและนักวิเคราะห์จากจีนกล่าวว่า Tesla มีความเป็นผู้นำในด้านปัญญาประดิษฐ์ในช่วงแรก แต่จีนมีความสามารถในการลดราคาการผลิตลงได้
บริษัท Shanghai Kepler Exploration Robotics ซึ่งกำลังพัฒนาหุ่นยนต์รุ่นที่ 5 เพื่อทดลองใช้ในโรงงาน คาดว่าจะตั้งราคาขายจะต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์ (1.02 ล้านบาท)
อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ของจีนได้รับการสนับสนุนจากนโยบาย “พลังการผลิตใหม่” ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กรุงปักกิ่งได้เปิดตัวกองทุนหุ่นยนต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมูลค่า 1,400 ล้านดอลลาร์ (4.79 หมื่นล้านบาท) ในเดือนมกราคม ขณะที่เซี่ยงไฮ้ได้ประกาศแผนการจัดตั้งกองทุนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์มนุษย์มูลค่า 1,400 พันล้านดอลลาร์ ในเดือนกรกฎาคม
เมื่อเดือน ก.ค. โกลด์แมนแซคส์ คาดการณ์ว่าตลาดหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 38,000 ล้านดอลลาร์ (1.3 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2035 โดยมีการจัดส่งเกือบ 1.4 ล้านชิ้น สำหรับการใช้งานของผู้บริโภคและอุตสาหกรรม และยังประเมินว่าต้นทุนของวัสดุที่ใช้สร้างหุ่นยนต์เหล่านี้ลดลงเหลือประมาณ 150,000 ดอลลาร์ (5.13 ล้านบาท) ต่อตัวในปี 2023 ไม่รวมต้นทุนการวิจัยและพัฒนา
หุ่นยนต์รุ่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นแขนกลขนาดใหญ่ที่สามารถเชื่อมและทำงานอื่นๆ ได้นั้น ส่วนใหญ่แล้วนำโดยบริษัทนอกประเทศจีน เช่น บริษัท Fanuc ของญี่ปุ่น, บริษัท ABB ซึ่งเป็นกลุ่มวิศวกรรมของสวิตเซอร์แลนด์ และบริษัท Kuka ของเยอรมนี ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Midea ผู้ผลิตเครื่องใช้ในบ้านของจีน
ตามข้อมูลของ International Federation of Robotics ประเทศจีนเป็นผู้นำโลกในด้านหุ่นยนต์การผลิตที่ติดตั้งในโรงงาน ซึ่งมีมากกว่าจำนวนหุ่นยนต์ในอเมริกาเหนือถึงสามเท่า
“ผมเชื่อว่าน่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20-30 ปี ก่อนที่หุ่นยนต์ที่ฮิวแมนนอยด์จะสามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ในวงกว้างได้” Rao จากสถาบันวิจัย LeadLeo กล่าว
(1 ดอลลาร์ = 34.25 บาท)