คนขับแอปเรียกรถในจีนหวั่น หลังแท็กซี่ไร้คนขับเริ่มได้รับความนิยม การ Disruption ครั้งใหญ่ที่จะกระทบตลาดแรงงานในอนาคต
นักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม กล่าวว่า พนักงงานขับรถและคนขับแท็กซี่จะเป็นกลุ่มแรกๆ ของโลกที่เผชิญกับภัยคุกคามของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เมื่อ ‘รถแท็กซี่ไร้คนขับ’ หลายพันคันเริ่มวิ่งบนท้องถนนในประเทศจีน
รายงานระบุว่า เมืองต่างๆ ของจีนอย่างน้อย 19 แห่ง กำลังดำเนินการทดสอบแท็กซี่และรถบัสไร้คนขับ โดยเมือง 7 แห่ง ได้อนุมัติให้ผู้นำในอุตสาหกรรมอย่างน้อย 5 ราย ได้แก่ Apollo Go, Pony.ai, WeRide, AutoX และ SAIC Motor ดำเนินการทดสอบโดยไม่มีคนขับนั่งติดรถไปด้วย
Apollo Go เปิดเผยว่า มีแผนจะให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับ 1,000 คันในเมืองอู่ฮั่นภายในสิ้นปีนี้ และจะเปิดให้บริการใน 100 เมือง ภายในปี 2030 ขณะที่ Pony.ai ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัท Toyota Motor ของญี่ปุ่น ให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับ 300 คัน และมีแผนจะเปิดให้บริการเพิ่มอีก 1,000 คัน ภายในปี 2026
ข้อมูลทางการระบุว่า มีพนักงงานขับรถที่ลงทะเบียนในจีนกว่า 7 ล้านคน เมื่อเทียบกับ 4.4 ล้านคนเมื่อ 2 ปีก่อน
นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า เนื่องจากงานพนักงงานขับรถเป็นที่พึ่งสุดท้ายในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากแท็กซี่ไร้คนขับอาจกระตุ้นให้รัฐบาลเหยียบเบรกโครงการรถโดยสารไร้คนขับ
ในเดือน ก.ค. ประเด็นเรื่องการตกงานจากแท็กซี่ไร้คนขับพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดของการค้นหาบนโซเชียลมีเดีย โดยมีแฮชแท็กต่างๆ เช่น “รถยนต์ไร้คนขับกำลังขโมยรายได้ของคนขับแท็กซี่หรือไม่”
“พนักงงานขับรถ เป็นงานของชนชั้นล่างสุด… ถ้าคุณทำลายอุตสาหกรรมนี้ พนักงงานขับรถจะเหลืองานอะไรให้ทำอีก” Wang Guoqiang พนักงงานขับรถ วัย 63 ปี กล่าว
ขณะที่ Liu Yi ชาวอู่ฮั่น วัย 36 ปี ที่เริ่มเป็นพนักงานขับรถพาร์ทไทม์ในปีนี้ เนื่องจากงานก่อสร้างชะลอตัวลงจากปัญหาอพาร์ตเมนต์ขายไม่ออกทั่วประเทศ คาดการณ์ว่าจะเกิดวิกฤตอีกครั้งหลังเฝ้าดูเพื่อนใช้บริการรถแท็กซี่ไร้คนขับ
ด้าน ถัง เหยา รองศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ประยุกต์แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง กล่าวว่า การนำระบบอัตโนมัติมาใช้อาจเป็นประโยชน์ต่อจีนในระยะยาว เนื่องจากประชากรมีจำนวนลดลง แต่ในระยะสั้น จำเป็นต้องมีความสมดุลระหว่างความเร็วของการสร้างงานใหม่และการทำลายงานเก่า