
จีนลงทุน 1.7 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างระบบนิเวศในการผลิตชิป โดยปัจจุบันไล่ตามหลังเบอร์หนึ่งของโลกเพียง 3 ปีเท่านั้น
รายงานของ Nikkei Asia อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก (SEMI) คาดการณ์ว่าจีนจะใช้จ่ายเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ (1.71 ล้านล้านบาท) ซื้ออุปกรณ์ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในปีนี้ เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ และปกป้องห่วงโซ่อุปทานของประเทศจากการคว่ำบาตรครั้งใหม่ของสหรัฐฯ
รายงานระบุว่า จีนใช้จ่ายเงิน 25,000 ล้านดอลลาร์ (8.56 แสนล้านบาท) เพื่อซื้ออุปกรณ์ผลิตชิปในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และยังมากกว่าการใช้จ่ายรวมกันของเกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐฯ สำหรับอุปกรณ์ผลิตชิปในช่วงเวลาเดียวกัน
ในปี 2023 จีนใช้จ่ายเงินไปเกือบ 37,000 ล้านดอลลาร์ (1.26 ล้านล้านบาท) สำหรับอุปกรณ์ผลิตชิป ตามข้อมูลของ SEMI ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 34% ของการซื้ออุปกรณ์ผลิตชิปทั่วโลก
การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้สอดคล้องกับแผนของรัฐบาลจีนในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมชิป ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าที่จะบรรลุความสามารถในการพึ่งพาตนเอง 70% ภายในปีหน้า
ในเดือนพฤษภาคม จีนได้จัดตั้งกองทุนมูลค่า 47,500 ล้านดอลลาร์ (1.62 ล้านล้านบาท) เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมชิป ซึ่งเป็นกองทุนที่ 3 ที่เปิดตัวโดย China Integrated Circuit Industry Investment Fund หรือที่เรียกกันว่า Big Fund และมีมูลค่ามากกว่ากองทุนชิป 2 กองทุนแรกรวมกัน
รัฐบาลท้องถิ่นของจีนก็กำลังดำเนินขั้นตอนที่คล้ายกันในการเพิ่มผลผลิตชิปเช่นกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลปักกิ่งได้จัดตั้งกองทุนชิปของตนเองด้วยทุนจดทะเบียน 1.2 พันล้านดอลลาร์ (4.11 หมื่นล้านบาท)
ขณะที่นครเซี่ยงไฮ้ก็เพิ่มมูลค่ากองทุนชิปเป็น 2 เท่าด้วยการอัดฉีดเงินอีก 1 พันล้านดอลลาร์ (3.42 หมื่นล้านบาท) ในเดือนที่แล้ว และยังมอบเงินอุดหนุนหลายรายการให้กับโครงการที่นำโดย SMIC และ Huawei เช่น การเปิดสายการผลิตแผ่นเวเฟอร์เซมิคอนดักเตอร์ขนาด 300mm ซึ่งมีคาดว่าจะใช้ในการผลิตชิปขนาด 5 นาโนเมตร สำหรับสมาร์ทโฟนของ Huawei
การลงทุนที่เพิ่มขึ้นในด้านการผลิตชิป ทำให้ปัจจุบันจีนตามหลังผู้ผลิตชิปตามสั่งแบบมีสัญญาผูกมัดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง TSMC ในด้านศักยภาพของเซมิคอนดักเตอร์เพียง 3 ปีเท่านั้น ตามรายงานอีกฉบับของ Nikkei
(1 ดอลลาร์ = 34.25 บาท)