
“หน้าที่ของคนแบงก์ชาติ คือ เขาจ้างมาให้เรากังวล เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่ต้องกังวลมาก เพราะโดยหน้าที่ เรากังวลและระแวงแทนคนอื่นไปแล้ว”
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์กับวารสาร “พระสยาม” ซึ่งเป็นวารสารของ ธปท. ฉบับที่ 3 ประจำปี 2564 (พ.ค. – มิ.ย.) เรื่อง “เปิดใจ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ เบื้องลึกภารกิจฟื้นฟูเศรษฐกิจของ ธปท.”
โดยในตอนหนึ่ง ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า แม้วิกฤตโควิด 19 จะสร้างความกังวลใจ และท้าทายการทำงานในฐานะผู้ว่าการ ธปท. แต่ ดร.เศรษฐพุฒิมองว่าอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาที่จะสร้างความกังวลใจใหญ่หลวงไม่แพ้กับปัญหาเฉพาะหน้าในตอนนี้ นั่นคือ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่รอการปะทุหลังวิกฤตคราวนี้คลี่คลาย
“ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่า หน้าที่ของคนแบงก์ชาติ คือ เขาจ้างมาให้เรากังวล เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่ต้องกังวลมาก เพราะโดยหน้าที่ เรากังวลและระแวงแทนคนอื่นไปแล้ว”
ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่าวิกฤตครั้งนี้สะท้อนความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไป โดยไม่มีเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจอื่นรองรับ นี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่จะชี้ชะตาความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยในอนาคต
“ประเทศไทยไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องนี้มานาน คล้าย ๆ กับเราซื้อเวลาด้วยการทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้ตัวเลขออกมาดูดี สนับสนุนให้คนเป็นหนี้กู้ง่าย การบริโภคก็เลยดูดี เศรษฐกิจก็โตขึ้นมาได้ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาระยะยาว
ถึงเวลาแล้วที่ทั้งประเทศต้องฉุกคิด ไม่ใช่แค่เรื่องของการจะออกจากวิกฤตครั้งนี้ แต่หลังจากนี้ โครงสร้างเศรษฐกิจไทยควรจะเป็นอย่างไร และถ้าจะให้ดี สิ่งที่เราทำระหว่างทางเพื่อแก้วิกฤต ควรจะต้องตอบโจทย์ระยะยาวของประเทศด้วย”
นอกจากนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ ยังแสดงความกังวลในเรื่องภูมิทัศน์ของธุรกิจและเศรษฐกิจไทย ที่จะเปลี่ยนแปลงภาพหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งผู้ประกอบการ SMEs ควรวางแผนระยะยาว และปรับรูปแบบหรือโครงสร้างธุรกิจรองรับกับการทำธุรกิจยุค new normal
และกังวลในปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ ที่จะขยายผลรุนแรงมากขึ้นภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ด้วย และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงมากจะเป็น “ตัวฉุด” การฟื้นตัวของหลาย ๆ ครัวเรือน ซึ่งจะซ้ำเติมให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งหนักขึ้น จนอาจก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมา