
ชงกำหนดมาตรการเต็มรูปแบบ “ค่าแอลกอฮอล์ในเลือดเป็น 0” ตั้งจุดตรวจลมหายใจแบบสุ่ม ลดเสี่ยง ลดตาย
ศูนย์วิชาการสุรา ชงไทยดันมาตรการเต็มรูปแบบ กำหนดค่าแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นศูนย์ เผยมีใช้แล้วใน 15 ประเทศ ส่วนกำหนดต่ำกว่า 0.03% มีถึง 27 ประเทศ พร้อมเพิ่มจุดตรวจลมหายใจแบบสุ่ม ลดเสี่ยง ลดตาย
รศ.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รอง ผอ.ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่ จ.ศรีสะเกษ ชายวัย 30 ปี เมาขับรถเก๋งชนรถจักรยานยนต์นักศึกษา จากนั้นเสียหลักพุ่งข้ามเกาะกลางเหินลอยขึ้นไปตกลงบนหลังคารถเก๋งอีกคัน เสียชีวิตทั้งหมด 5 ศพ เป็นเหตุการณ์ที่น่าสลดใจกับความสูญเสียทั้งครอบครัวให้กับความประมาทของผู้ดื่มแล้วขับ
ตำรวจคาดว่าผู้ก่อเหตุมีอาการมึนเมา ตรวจวัดแอลกอฮอล์ได้ 49 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์ แม้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่จะยังไม่ถึงระดับที่กฎหมายกำหนด แต่มีผลทำให้เกิดเหตุการณ์น่าสลดใจ กล่าวได้ว่า “ไม่ถึงขั้นเมาก็เสี่ยงแล้ว” สะท้อนให้เห็นว่าการกำหนดค่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ในผู้ขับขี่ อาจจะไม่ใช่ระดับที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน
“กรณีของผู้ก่อเหตุรายนี้ที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ควรจะใช้เกณฑ์ตามกฎหมายที่ 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่อยู่ในระดับที่ผู้ขับขี่จะแสดงลักษณะอาการมึนเมา หรือความบกพร่องในการขับขี่ยานพาหนะ และขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคล เช่น เพศ อายุ น้ำหนักตัว ไขมันในร่างกาย ปริมาณการดื่มและอัตราการดื่ม และอาหารในกระเพาะอาหาร” รศ.นพ.พลเทพกล่าว
ทั้งนี้ มาตรการที่ไทยควรผลักดันให้เกิดขึ้นเต็มรูปแบบ ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลกแนะนำ ได้แก่
1.การกำหนดค่าสูงสุดของระดับความเข้มของแอลกอฮอล์ในเลือด (Blood Alcohol Concentration: BAC) ของผู้ขับขี่เป็นศูนย์ คือ ผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะไม่ควรตรวจพบระดับแอลกอฮอล์ในเลือด หรือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ มาตรการนี้มีถูกใช้ใน 15 ประเทศ และมี 27 ประเทศที่กำหนดขีดจำกัดสูงสุดของ BAC ในระดับที่ต่ำมาก (ต่ำกว่า 0.03%) เช่น อุรุกวัย บราซิล และจีน ที่ลดขีดจำกัดสูงสุดของ BAC ตามกฎหมายเป็นศูนย์ ส่งผลให้อุบัติเหตุร้ายแรง การบาดเจ็บจากการจราจร และอัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
2.มาตรการตั้งจุดตรวจลมหายใจวัดระดับแอลกอฮอล์แบบสุ่ม (Random breath testing: RBT) บางประเทศในทวีปออสเตรเลีย ยุโรป เอเชีย แอฟริกา และประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมนำมาตรการนี้มาใช้พบว่า เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ ลดอุบัติเหตุจราจรที่เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยเฉพาะอุบัติเหตุจราจรในเวลากลางคืนที่มีความร้ายแรงหรือมีผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
“ลักษณะสำคัญของ RBT คือ ผู้ขับขี่รถ ไม่ว่าใครก็ตาม สามารถถูกเรียกให้หยุดและทดสอบลมหายใจได้ตลอดเวลา การปฏิบัติเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ ได้แก่ 1.ตั้งจุดตรวจโดยทั่วไปที่มักถูกจัดให้เห็นได้อย่างชัดเจน 2.บังคับใช้มาตรการนี้เข้มงวด 3.ดำเนินการสม่ำเสมอและต่อเนื่อง 4.ทำให้ผู้ขับขี่อย่างน้อย 1 ใน 2 คน ได้รับการทดสอบลมหายใจในแต่ละปี และ 5.ประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง เพิ่มการรับรู้ถึงโอกาสในการถูกตำรวจเรียกหยุดและถูกทดสอบ
จากการสำรวจในหลายประเทศ ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่รายงานว่า เคยได้รับการตรวจระดับแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 ครั้ง ผู้ขับขี่ที่เห็นจุดตรวจ RBT หรือถูกเรียกรายงานว่า มีแนวโน้มรับรู้ถึงโอกาสถูกจับกุมหากดื่มแล้วขับมากขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายเพื่อผลในเชิงป้องปราม” รศ.นพ.พลเทพ กล่าว
ด้าน นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์การสาธารณสุข คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ไทยควรให้ความสำคัญกับเรื่องดื่มแล้วขับให้มากกว่านี้ โดยกำหนดเป็นนโยบายสำคัญ รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ชาวบ้านที่จำเป็นต้องใช้รถใช้ถนน โดยการสนับสนุน 2 มาตรการที่ได้กล่าวข้างต้น ได้แก่ การกำหนดค่าสูงสุดของระดับความเข้มของแอลกอฮอล์ในเลือด (Blood Alcohol Concentration: BAC) ของผู้ขับขี่เป็นศูนย์ และมาตรการตั้งจุดตรวจลมหายใจวัดระดับแอลกอฮอล์แบบสุ่มอย่างครอบคลุม ทำให้ผู้ขับขี่ตระหนักว่า หากขับรถต้องไม่ดื่ม
อีกทั้งต้องสนับสนุนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีอุปกรณ์ตรวจและงบประมาณดำเนินการเพียงพอ ประชาชนต้องให้ความร่วมมือ โดยไม่มองว่าเป็นการลิดรอนสิทธิการดื่มและไม่บ่นเจ้าหน้าที่ หากรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลหน้าตัดสินใจทำเรื่องนี้ จะช่วยลดการตายบนท้องถนนได้ถึง 5,000 คน/ปี สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน
จ่อสอบกรณี ท่าน ว. พูดเชียร์ดิไอค่อน ‘สส. ปชน.’ เตรียมนำกรณี ‘ท่าน ว.’ เข้าที่ประชุม กมธ.ศาสนา
แจงเหตุคอรัปชันเยอะ เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันอธิบายสาเหตุหลัก ที่ทำให้กลไกการตรวจสอบของภาครัฐล้มเหลว
ทางรถไฟสายสีแดงชะงัก อาจจะไม่สร้างสถานีหัวลำโพง และคลองสาน
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม