ผู้นำรัฐบาวาเรียชี้ วิกฤตพลังงาน กำลังสร้าง ‘ลัทธิหัวรุนแรง’ ทั่วประเทศ พรรคการเมืองในเยอรมนีต้องสามัคคีกัน ถ้าไม่อยากให้ประชาธิปไตยต้องสั่นคลอน

มาร์คุส โซเดอร์ (Markus Söder) ผู้ว่าการรัฐบาวาเรีย ในเยอรมันนีกล่าว เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น อาจนำไปสู่ลัทธิหัวรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในเยอรมนี

โซเดอร์ อธิบายว่า “วิกฤตต่างๆ เช่น วิกฤตราคาพลังงาน และการระบาดของโควิด-19 สามารถนำไปสู่การใช้อำนาจมากเกินไปและทำให้ระบอบประชาธิปไตยสั่นคลอน” พร้อมเรียกร้องให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยแสดงจุดยืนที่ชัดเจน โต้เถียงกันให้น้อยลง และส่งเสริมพลเมืองให้มากขึ้น

โซเดอร์ ชี้ไปที่ความสำเร็จในการเลือกตั้งที่เพิ่มขึ้นของพรรค AfD ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา ว่าเป็นข้อพิสูจน์ว่าความลัทธิหัวรุนแรงกำลังผงาดขึ้นในสังคม พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดเพดานราคาน้ำมัน เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์แก่ประชาชน ตลอดจนช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) เพื่อขจัดความรู้สึกต่อต้านรัฐบาลที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น

นอกจากนี้ โซเดอร์ยังกล่าวว่า รมว.เศรษฐกิจ และรมว.คลัง จะต้องเลิกโต้เถียงกันเรื่องอนาคตของพลังงานนิวเคลียร์ในประเทศ พร้อมแนะนำว่า รัฐบาลเยอรมนีควรขยายเวลาการเปิดใช้งานเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เหลืออยู่อย่างน้อยที่สุดจนถึงปี 2024 ตามที่รมว.คลังได้เสนอไปแล้ว และได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์เป็นตัวกลางสันติภาพระหว่าง รมว.ทั้งสองด้วย

ทั้งนี้ อดีตนายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล ได้สั่งการให้ปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้งหมดภายในสิ้นปี 2022 หลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติฟุกุชิมะในญี่ปุ่น ส่งผลให้เยอรมนีเหลือเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์พร้อมใช้งานเพียง 3 เตา

ซึ่งรัฐบาลเยอรมนีได้วางแผนเตรียมความพร้อมเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 2 เตาจาก 3 เตาที่เหลืออยู่เพื่อใช้รับมือกรณีที่โรงไฟฟ้าถ่านหินไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอต่อความต้องการในช่วงฤดูหนาวนี้

ขณะที่ Der Spiegel นิตยสารชื่อดังของเยอรมนีรายงานว่า ร้านค้าในเยอรมนีราว 15,000 แห่งกำลังจะปิดตัวลงจากต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น

#TheStructureNews

#Germany #EnergyCrisis