Newsกทม. หนี้ท่วมดอกเบี้ยวันละ 5.4 ล้าน ‘สก.’ ถาม ‘ชัชชาติ’ ทำไมคณะกรรมการที่ผู้ว่าฯ แต่งตั้งไม่เคยเข้าร่วมการประชุมแก้ไขปัญหาหนี้ BTSC

กทม. หนี้ท่วมดอกเบี้ยวันละ 5.4 ล้าน ‘สก.’ ถาม ‘ชัชชาติ’ ทำไมคณะกรรมการที่ผู้ว่าฯ แต่งตั้งไม่เคยเข้าร่วมการประชุมแก้ไขปัญหาหนี้ BTSC

ในการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สอง (ครั้งที่ 2) ประจำปี 2568 เมื่อวานนี้ (9 เม.ย. 2568) นภาพล จีระกุล ส.ก. เขตบางกอกน้อย รายงานผลการศึกษาของคณะกรรมการ (คกก.) วิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (บางส่วน) เพื่อศึกษาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและค่าซ่อมบำรุงของโครงการฯ ทั้งส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 



ซึ่งโดยสรุปแล้ว กรุงเทพมหานคร ยังคงมีหน้าค้างชำระบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC อีกกว่า 38,157 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย 

 

ค่าจ้างเดินรถช่วงฟ้องครั้งที่สอง (มิ.ย. 64 – ต.ค. 65): 12,245 ล้านบาท (อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลปกครองกลาง)


ค่าจ้างเดินรถหลังฟ้องครั้งที่สอง (พ.ย. 65 – ธ.ค. 67): 17,121 ล้านบาท

ค่าจ้างเดินรถ (ม.ค. – ธ.ค. 68): 8,761 ล้านบาท

 

ซึ่งกรณีนี้มีความเกี่ยวข้องกับคดีที่ BTSC ฟ้อง กทม. และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดย BTSC ฟ้องศาลปกครองกลาง 2 คดี คือ ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงของส่วนต่อขยายที่หนึ่ง (พ.ค. 62 – พ.ค. 64) และส่วนต่อขยายที่สอง (เม.ย. 60 – พ.ค. 64) โดย


คดีที่ 1 ค่าจ้างเดินรถฯ ส่วนต่อขยายที่ 1 (พ.ค. 62 – พ.ค. 64) และ 2 (เม.ย. 60 – พ.ค. 64) ซึ่งศาลปกครองสูงสุดสั่งให้ กทม. และกรุงเทพธนาคมชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ย

คดีที่ 2 ค่าจ้างเดินรถฯ ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 (มิ.ย. 64 – ต.ค. 65) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลางและยังไม่กำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง

ทั้งนี้ คณะกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีความเห็นว่ากรุงเทพมหานครควรดำเนินการให้มีความชัดเจนในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

 

ความชอบด้วยกฎหมายของสัญญาว่าจ้างที่บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ทำกับ BTSC


ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาระหนี้ที่กรุงเทพมหานครมีต่อบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และวิธีการบริหารจัดการหนี้ดังกล่าวให้เกิดประสิทธิภาพ


ความจำเป็นในการให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในอนาคต และรูปแบบที่เหมาะสม


แนวทางการกำกับดูแลบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ในฐานะหน่วยงานที่กรุงเทพมหานครเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ให้ดำเนินการเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และตรวจสอบได้

ด้านณภัค เพ็งสุข ส.ก.เขตลาดพร้าว ได้ตั้งคำถามต่อรายงานดังกล่าวใน 5 ประเด็น โดยประเด็นหนึ่ง ณพัคได้ตั้งคำถามถึงคำต่อท้ายรายงานว่า บางส่วน) ว่าหมายความว่าอะไร เพราะโดยปกติแล้วรายงานของคณะกรรมการนั้น ควรจะเป็นฉบับสมบูรณ์มิใช่หรือ

 

ซึ่งนภาพลชี้แจงว่า ที่มีการรายงานบางส่วนนั้น เป็นเพราะว่าเรื่องนี้นั้นมีความเร่งด่วน ถ้ารายงานช้ากรุงเทพมหานครจะเสียหาย ก่อนรายงานมีการประชุมมา 7 ครั้ง เมื่อมีประเด็นที่ กทม.ต้องชำระเงินและดอกเบี้ย จำนวน 5.4  ล้านบาทต่อวัน ค่อนข้างเยอะพอสมควร ดังนั้น การรายงานเพียงบางส่วนเกี่ยวกับการชำระหนี้ที่ค้างชำระ หนี้ก้อนแรกมีการชำระไปแล้วกว่า 14,000 ล้านบาท

 

หนี้ก้อนที่สองคือหนี้ที่ฟ้องอยู่ในศาลอยู่ในขณะนี้ หนี้ก้อนที่สาม ที่ถึงกำหนดแล้ว แต่ยังไม่มีการฟ้อง เหล่านี้เป็นหนี้ที่เกิดจากสัญญาเดียวกัน และศาลพิพากษาแล้วว่าสัญญาที่บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดยกรุงเทพมหานครมอบหมายให้ดำเนินการ เป็นสัญญาที่ผูกพันกับกรุงเทพมหานคร ต้องรับผิดร่วมกัน ดังนั้น ถ้าดูจากบรรทัดฐานของหนี้ก้อนแรก แนวทางออกมาไม่น่าจะเป็นทางอื่นไปได้

 

“ตอนนี้ ศาลยังไม่หยุดที่จะแสวงหาข้อเท็จจริง ถ้าจากนี้ต่อไปอีก 1 ปี วันหนึ่งเสีย 5.400,000 บาท คูณ 365 เท่ากับเท่าไร ดังนั้น จึงรีบรายงานบางส่วนเพื่อให้มีการสรุปแล้วให้ฝ่ายบริหารไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ถ้าไม่เร่งรายงานฝ่ายบริหารจะดำเนินการไม่ได้”

 

ด้านชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ชี้แจงในที่ประชุมว่า ปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างฝ่ายบริหารและสภากรุงเทพมหานคร เนื่องจากการชำระหนี้ทุกบาทต้องได้รับอนุมัติจากสภากทม. ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาแล้ว 2 ครั้ง การตั้งคณะกรรมการวิสามัญ จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการหาข้อสรุปที่ชัดเจนก่อนเสนอญัตติเข้าสภา

 

สำหรับการก่อหนี้ผูกพันในอนาคต เช่น สัญญาจ้างเดินรถหลังจากนี้ นายชัชชาติระบุว่า ต้องให้สภากทม.พิจารณาก่อน เพราะหากผู้ว่าฯ ไปก่อหนี้ผูกพันมูลค่าหลายแสนล้านโดยไม่ได้รับความเห็นชอบ จะกลายเป็นปัญหาทางกฎหมาย

และกล่าวว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวมีความซับซ้อน เนื่องจากอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พ.ร.บ. ร่วมทุน) โดยตามหลักการ เมื่อสัมปทานสิ้นสุดในปี 2572 รถไฟฟ้าทั้งหมดจะกลับมาเป็นของ กทม. และรายได้จะตกเป็นของ กทม. แต่ปัจจุบันมีการจ้าง BTSC เดินรถล่วงหน้าไปถึงปี 2585 ซึ่งเกินกว่ากรอบสัมปทานเดิม ทำให้ต้องพิจารณาตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนต่อไป

 

ชัชชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า ฝ่ายบริหารได้ตัดสินใจจ้างที่ปรึกษาเพื่อพิจารณาด้านกฎหมายและเงื่อนไขของ พ.ร.บ.ร่วมทุน เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีที่เหลือก่อนสัมปทานจะสิ้นสุด

นอกจากนี้ นภาพล กล่าวถึงชัชชาติว่า คณะกรรมการจากฝ่ายบริหาร 2 คนที่ผู้ว่าฯ แต่งตั้งไม่เคยเข้าร่วมประชุมเลย โดยไม่มีการลาหรือเหตุผล และขอแนะนำว่า หากมีการประชุมครั้งต่อไป ควรทำหนังสือแจ้งลาและระบุเหตุผล เพื่อให้การทำงานเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก ส.ก. ขาดความรู้เชิงลึกในประเด็นนี้ และต้องการข้อมูลจากฝ่ายบริหารเพื่อร่วมกันหาทางออก



 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า