
เรื่องชั้น 14 คือ จุดตายของทักษิณ ‘จตุพร’ เตือน ‘เพื่อไทย’ ระวังซ้ำรอยก้าวไกล-เศรษฐา
สืบเนื่องจากกรณีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ทนายความยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2567สั่งให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ล้มเลิกการกระทำที่นำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งในเวลาต่อมา รัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยหลายคน อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่าไม่มีสาระ และไม่น่ากังวล
แต่นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ได้ออกมาเตือนพรรคเพื่อไทยและนายทักษิณว่าอย่าประมาท ระวังจะซ้ำรอย กรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง และกรณีการยุบพรรคก้าวไกล
โดยนายจตุพรกล่าวว่าใน 6 ข้อกล่าวหาทั้ง 6 ข้อนั้น ข้อกล่าวหาแรกที่ระบุว่าพรรคเพื่อไทยให้รัฐบาลจัดที่พักชั้น 14 รพ.ตำรวจ ให้ทักษิณ เข้าพักระหว่างต้องโทษจำคุก จึงเป็นการบ่อนทำลายพระเกียรติยศสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือว่าเป็นประเด็นหลัก
ซึ่งกรณีนี้นั้น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ได้ทำหนังสือไปยังโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อขอเวชทะเบียนแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งตนเองเห็นว่าถ้ามีการออกหนังสือร้องขอเป็นครั้งที่ 3 ก้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่
ถึงแม้ว่า พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะยังไม่ได้รับพระบรมราชโองการโปลดเกล้าฯ แต่ก็สามารถปฎิบัติหน้าที่ในฐานะรักษาการ ผบ.ตร. ได้อยู่แล้ว และจะอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะหนีพ้นไปจากเรื่องนี้ได้อยู่ดี
ถ้า ปปช. ออกหนังสือขอเวชทะเบียน แล้วยังไม่ให้ ก็จะกลายเป็นการเพิ่มปมใหม่เข้าไป และจะมีการเดินหน้าสอบสวนในคดีนี้ต่อ เนื่องจากส่วนอื่น ๆ เช่นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แพทยสภา และพลตำรวจเอก เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวช หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ต่างก็มีพยานหลักฐานมากเพียงพอแล้ว
อีกทั้งในการแถลงของนายธีรยุทธนั้น นายธีรยุทธระบุว่าตนเองมีพยานพร้อม ไม่ว่าจะเป็นพยานในบ้านจันทร์ส่องหล้า และชั้น 14 รพ. ตำรวจ และตนเองติดตามการทำงานของนายธีรยุทธมานาน ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยจะปรากฏตัวออกมา และดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร
แต่การออกแบบของนายธีรยุทธนั้นจะเห็นว่าเขาไปยื่นกับอัยการสูงสุดก่อน เมื่อวันที่ 24 ก.ย. เพื่อให้ครบเงื่อนไข 15 วัน เพื่อที่จะมายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 ต.ค. ซึ่งเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่หากมองในภาพรวมจะเห็นว่ามันมีอะไร เพราะเรื่องนี้นั้นมีขบวนการสอบสวนอยู่แล้ว และคาดว่าจะมีการสั่งฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้องในเดือนหน้า
ถึงแม้ว่านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี จะออกมากล่าวว่ามีคลื่นใต้น้ำในพรรคร่วมรัฐบาล แต่ที่เป็นปัญหาใหญ่กว่านั้นคือเรื่อง “ชั้น 14” นั้นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นพระบรมราชโองการ อันเป็นผลมาจากการยื่นฎีกาของพระราชทานอภัยโทษ
เมื่อในพระบรมราชโองการ ได้ระบุอย่างชัดเจนว่านักโทษชายทักษิณ ชินวัตรเคารพในกระบวนการยุติธรรมยอมรับว่ากระทำความผิดจริงบัดนี้สํานึกการกระทำแล้ว แต่การไม่ติดคุกแม้แต่เพียงวันเดียวนั้น ที่เราพยายามอธิบายมาตั้งแต่ต้นว่า จะกระทบถึงพระบรมราชโองการ
นายจตุพรเชื่อว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะรับคำร้องของนายธีรยุทธไว้วินิจฉัย เพื่อเรื่องชั้น 14 นั้น ไม่สามารถคิดเป็นอย่างอื่นไปได้เลย และยากที่ศาลฯ จะไม่รับ
ส่วนตัวนายธีรยุทธนั้น ในช่วงที่ยื่นฟ้องพรรคก้าวไกลว่าล้มล้างการปกครองนั้น คนทั่วไปก็ไม่คิดว่าจะประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายก็ทำได้สำเร็จ
ส่วนคำฟ้องข้อที่ 2 – 6 นั้น เป็นการฟ้องร้องเพื่อชี้ให้เห็นถึงลักษณะของการครอบงำพรรคเพื่อไทยของนายทักษิณเท่านั้น
ส่วนการที่พรรคเพื่อไทยออกมากล่าวปรามาสคำร้องของนายธีรยุทธว่าไม่มีอะไร ชิล ๆ นั้น นายจตุพรกล่าวว่าในตอนแรกที่มีการยื่นฟ้องพรรคก้าวไกล ใคร ๆ ก็คิดว่าชิล ๆ ทั้งนั้น แต่ทั้งนี้การดำเนินการของนายธีรยุทธนั้น อยู่ในห้วงเวลาเดียวกันกับ ปปช. ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้นั้นกำลังจะขบวดปมเข้าหากัน และจะมีการแนบเอกสารของหน่วยงานอื่น ๆ ที่ฟ้องในเรื่องเดียวกันเข้าไปด้วย
และทั้ง 2 เรื่องนี้นั้น ใช้พยานหลักฐานเดียวกัน แต่พุ่งเป้าไปที่คนละเป้า โดยนายธีรยุทธพุ่งเป้าไปที่นายทักษิณ ส่วน ปปช. พุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง และเรื่องนี้ถ้าหากพรรคเพื่อไทยประมาท ก็ถึงฆาตได้เช่นกัน
นอกจากนี้ สังคมยังได้ตั้งคำถาม และไม่สบายใจต่อการที่นายทักษิณ ไม่ได้ติดคุกเลยแม้แต่เพียงวันเดียว เห็นว่านายทักษิณเป็นอภิสิทธิ์ชน, ใช้ 2 มาตรฐาน และทำลายกระบวนการยุติธรรม