อีลอน มัสก์ ซัด หน่วยต้านข่าวปลอมของไบเดน กรณีเดินหน้าให้สิทธิผู้ใช้ทวิตเตอร์ ‘ควบคุม’ และ ‘แก้ไข’ ทวีตคนอื่นได้

“มันน่าอึดอัดใจเหลือเกิน” อีลอน มัสก์ แสดงความเห็นต่อกรณีที่ นีน่า จังโควิช หัวหน้าหน่วยต้านข่าวบิดเบือนของไบเดน ได้ออกมาแสดงความเห็นว่าคณะกรรมการต้องการอนุญาตให้ผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่ยืนยันตัวตนแล้วสามารถ ‘แก้ไขทวีตคนอื่น’ ได้

นีน่า จังโควิช ผู้อำนวยการคณะกรรมการกำกับดูแลการบิดเบือนข้อมูล (Disinformation Governance Board) ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ภายใต้รัฐบาลไบเดน ได้เรียกร้องให้ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ที่มีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าแสดงบนบัญชี เพื่อยืนยันว่าบัญชีเป็นของบุคคลหรือองค์กรที่กล่าวอ้างจริง เช่นตัวเธอเอง สามารถควบคุมความเห็นบนแพลตฟอร์ม โดยอนุญาตให้พวกเขาสามารถแก้ไขทวีตที่พวกเขาพิจารณาว่าเป็นเท็จ

จังโควิช แสดงความคิดเห็นผ่านวิดีโอไวรัลที่เผยแพร่ออนไลน์เมื่อวันอังคาร (10 พ.ค.) ว่า “เพื่อให้ผู้ใช้ที่ได้รับการยืนยันตัวตนแล้ว สามารถแก้ไขข้อความทวีตได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับที่ทำกันใน Wikipedia”

ยกตัวอย่างเช่น หากอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ถูกทวิตเตอร์แบน และได้โพสต์ทวีตที่อ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020

ผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่ได้รับการยืนยันตัวตนแล้วสามารถเพิ่มเติมเนื้อหาเข้าไปในทวีตดั้งเดิม อาทิ ข้อมูลจากการฟ้องร้องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว หรือคอมเมนต์โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งการให้อำนาจดังกล่าวกับผู้ใช้งานที่ได้รับการยืนยันตัวตนแล้ว จะทำให้ผู้คนได้เห็นภาพที่ใหญ่ขึ้น แทนที่จะได้เห็นแค่มุมมองแคบๆ จากคนคนเดียว

โดยอีลอน มัสก์ ทวีตกลับความเห็นของจังโควิช ด้วยข้อความสั้นๆ ว่า ‘มันน่าอึดอัดใจเหลือเกิน’

ทั้งนี้ นักวิจารณ์หลายคน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝั่งรีพับลิกัน รวมถึงพวกฝ่ายซ้ายและพวก Libetarian บางคนยังได้ออกมาวิจารณ์คณะกรรมการกำกับดูแลการบิดเบือนข้อมูลว่า พยายามปราบปรามเสรีภาพในการพูด ด้วยการทำตัวเป็น ‘ผู้ควบคุมทางความคิด’ (Thought Police)

นอกจากนี้ จังโควิชเอง ก็เคยกีดกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเคยช่วยปกปิดข่าวฉาวที่เป็นความจริงโดยอ้างว่าเป็นเฟคนิวส์อีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็น ทวีตข้อความที่อ้างว่าทรัมป์สมรู้ร่วมคิดกับรัสเซียระหว่างหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 2016 ซึ่งข้อกล่าวหาที่ได้ถูกหักล้างไปแล้ว นอกจากนี้ เธอยังเคยปกปิดข่าวฉาวจากแล็ปท็อปของฮันเตอร์ ไบเดน ที่รายงานโดย New York Post โดยอ้างว่าเป็นเฟคนิวส์ที่หนุนโดยรัสเซีย ซี่งภายหลังข่าวดังกล่าวได้รับการยืนยันโดยสื่อหลักว่าเป็นเรื่องจริง