‘สมาร์ทโชห่วย พลัส’ กรมพัฒน์ฯ สร้างโอกาสรายย่อยดันโชห่วยไทยบนเวทีค้าส่ง-ปลีก
19 ก.ค. 2565 นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนดำเนินโครงการสมาร์ทโชห่วย พลัส เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งสร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการค้าส่ง-ค้าปลีกไทยทุกขนาด พร้อมเร่งพัฒนาร้านโชห่วยให้เป็น ‘สมาร์ทโชห่วย’ เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการรายย่อย และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งภาคธุรกิจ
โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศไทยและทุกประเทศทั่วโลกกำลังประสบปัญหาความผันผวนทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ส่งผลให้ระบบการค้าการลงทุนต้องปรับตัวและปรับเปลี่ยนให้พร้อมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งธุรกิจเอสเอ็มอีและไมโครเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบโดยตรง
ดังนั้น การสร้างฐานความมั่นคงและความแข็งแกร่งให้ธุรกิจจึงมีความจำเป็น รวมทั้ง การใช้ดิจิทัลเป็นแรงขับเคลื่อนการบริหารจัดการธุรกิจ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับพันธมิตรส่งเสริมพัฒนาธุรกิจทุกขนาดให้มีศักยภาพและพร้อมรับความท้าทายที่เกิดขึ้น
ล่าสุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ สมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย และภาคเอกชน 5 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย
(1) ผู้ผลิตและผู้แทนจำหน่าย (Suppliers)
(2) ผู้ให้บริการเทคโนโลยี/ระบบ POS/แพลตฟอร์ม
(3) ผู้ให้บริการเสริม
(4) สถาบันการเงิน และ
(5) เครือข่ายธุรกิจ Moc Biz Club
รวมกว่า 25 หน่วยงาน ได้รวมพลังส่งเสริมผู้ประกอบการโชห่วยไทยให้แข่งขันได้ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง เติบโต และอยู่คู่สังคมไทยอย่างมั่นคง
โดยร่วมกันวางกรอบการพัฒนาโชห่วยไทยทั้งระบบ พร้อมผลักดันโชห่วยไทยยืนหนึ่งบนเวทีค้าส่ง-ปลีกเคียงข้างผู้บริโภค เป้าหมายแรก คือ การผลักดันร้านค้าส่ง-ค้าปลีก ให้เป็น ‘สมาร์ทโชห่วย’ ผ่านโครงการ ‘สมาร์ทโชห่วย พลัส’
นายทศพล กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ ‘สมาร์ทโชห่วย พลัส’ เป็นกิจกรรมการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการโชห่วยที่ครอบคลุมหลายมิติเพื่อผลักดันให้เป็น ‘สมาร์ทโชห่วย’ ซึ่งมีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ (1) การมีภาพลักษณ์ร้านค้าที่ดี
(2) มีการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการร้านค้า หรือ
(3) มีช่องทางออนไลน์สำหรับให้บริการลูกค้า
ทั้งนี้ การพัฒนาสมาร์ทโชห่วยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน เพิ่มรายได้ สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ และร้านค้าสมาร์ทโชห่วยนี้จะเป็นแหล่งรับซื้อสินค้าของคนในชุมชน อันจะก่อให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชน เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
โดยโครงการนี้เป็นโครงการระยะยาว มีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (พ.ศ. 2565-2569) ครอบคลุมการดำเนินกิจกรรมหลัก 2 ส่วน คือ (1) การเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการ และ (2) การนำองค์ความรู้มาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างสมาร์ทโชห่วย
โดยดึงคุณสมบัติข้างต้นมาเป็นจุดเด่น เพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งนี้ การพัฒนาสมาร์ทโชห่วยต้องดำเนินการร่วมกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง อาศัยกลไกการทำงานร่วมกันทั้งส่วนกลางและพื้นที่ ซึ่งจะมีร้านค้าส่งท้องถิ่นที่ได้รับการพัฒนาจากกรมฯ ภายใต้การดูแลของสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย ทำหน้าที่ ‘พี่เลี้ยงโชห่วย’ คอยให้คำปรึกษา แนะนำ ช่วยพัฒนาร้านค้าโชห่วยเครือข่ายให้เติบโตไปด้วยกัน รวมทั้ง มีสำนักงานพาณิชย์จังหวัดในพื้นที่ช่วยติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ขับเคลื่อนโครงการ ‘สมาร์ทโชห่วย พลัส’ ระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย และหน่วยงานพันธมิตร ประมาณ ต้นเดือนสิงหาคม 2565 ซึ่งการลงนาม MoU ฉบับนี้ เป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันของทุกภาคส่วน เพื่อเริ่มต้นโครงการสมาร์ทโชห่วย พลัส
อีกทั้ง เป็นการส่งสัญญาณว่ากรมฯ พร้อมที่จะขยายเครือข่ายพันธมิตรที่มีศักยภาพและพร้อมสนับสนุนโชห่วยในอนาคต โดยในปี 2565 กำหนดเสริมสร้างองค์ความรู้ให้ผู้ประกอบการโชวห่วยทั่วประเทศ 3,000 ราย และสร้างสมาร์ทโชห่วย 300 ราย
และ ปี 2566 กำหนดแผนพัฒนาโชห่วยไทย มีเป้าหมายเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการโชห่วยทั่วประเทศ 3,000 ราย และสร้างสมาร์ทโชห่วย 400 ราย เป็นการเสริมแกร่งธุรกิจโชห่วยให้อยู่คู่คนไทยตราบนานเท่านาน
สถานการณ์เมียนมาตึงเครียด มีความไม่แน่นอนสูง รัฐบาลไทยประเมินสถานการณ์รายชั่วโมง ชี้ให้ความช่วยเหลือผู้อพยพทุกคนโดยไม่แบ่งแยก ตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน
“การต่อสู้ครั้งนี้คือการต่อสู้กับระบอบทักษิณใหม่… ที่พยายามอ้างอิงไปที่สถาบันเบื้องสูงอยู่เรื่อย… ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าระบอบทักษิณ ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันเบื้องสูง”
เอาเงินเข้าบัญชีตัวเอง เพจดัง CSI LA เปิดหลักฐานแฉ ‘บุ้งทะลุวัง’ บังคับเด็กขอทุนจากองค์กรสิทธิมนุษยชน ก่อนจะเอาเงินที่ได้ไปเข้าบัญชีตัวเอง
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม