
ผู้พิพากษาโซเชียล ไม่ใช่ผู้พิทักษ์คุณค่าประชาธิปไตย แต่เป็นผู้ทำลายเสียเอง
“ผู้พิพากษาโซเชียล” ตำแหน่งอันทรงเกียรติในโลกเสมือนออนไลน์ ที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะได้ตำแหน่งนี้เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการมีบทบาทของตนเองในการตัดสินการกระทำต่าง ๆ ในมุมมองที่ตนมองและต้องการจะให้เป็นตามที่ตนต้องการ
รวมทั้งต้องการที่จะให้สังคมยอมรับตนเองในฐานะคนสำคัญ แต่มักไม่ใส่ใจมากนักว่า คนสำคัญ ที่สังคมจะมองนั้นจะเป็นการมองในแง่บวกหรือแง่ลบ ขอแค่ให้สังคมมองเขาว่า สำคัญ ต่อทุกคนก็เพียงพอแล้ว และมีอีกคำหนึ่งที่ใช้เรียก ผู้พิพากษาโซเชียล ว่า “คนหิวแสง” เพราะมีความหมายที่คล้ายคลึงกัน
ซึ่งปรากฎการณ์ ผู้พิพากษาโซเชียล สามารถพบได้ดาษดื่นในสื่อสังคมออนไลน์โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เปิดให้แสดงความเห็นก็จะพบปรากฎการณ์นี้กันเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ปกติสำหรับสังคมมนุษย์ที่ดี เพราะการตัดสินคนอื่นโดยไม่มีข้อมูลที่มากเพียงพอก็คือ การกล่าวหาเสีย ๆ หาย ๆ นี้เอง
และบรรดาผู้พิพากษาโซเชียลส่วนใหญ่ก็มักใช้ความรู้และประสบการณ์ของตนเองซึ่งมีน้อยบ้าง มากบ้าง ในการตัดสินคนหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปตามที่ตนต้องการจะตัดสิน
ซึ่งในหลายกรณีก็คือ การใช้อคติในการตัดสินเต็ม ๆ และไม่เปิดรับเหตุผลอื่น ๆ ที่ไม่เข้ากับเหตุผลของบรรดาผู้พิพากษาโซเชียลทั้งหลาย ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่มีความเหมาะสมมากกว่าหรือเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในระยะยาวมากกว่า จึงเป็นผลเสียต่อการรักษาความหลากหลายทางความคิดเป็นอย่างมาก
ซึ่งหากมองผู้พิพากษาโซเชียลแบบผิวเผินก็จะมองว่า กลุ่มผู้พิพากษาโซเชียลเป็นผู้พิทักษ์คุณค่าประชาธิปไตยในฐานะผู้ที่มีส่วนร่วมในสังคมมนุษย์และพยายามที่จะแก้ไขปัญหาสังคมที่อยู่รอบตัวให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งค่านิยมเหล่านี้มักฝังหัวอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างแน่นลึกและถอนตัวไม่ขึ้น
แต่ในความเป็นจริง กลุ่มผู้พิพากษาโซเชียลที่ภูมิใจกับบทบาทของนักฉอด นักอบรมสั่งสอน ผู้รู้ทิพย์ ไม่ได้เป็นผู้พิทักษ์คุณค่าประชาธิปไตยอย่างที่เข้าใจกันแม้แต่น้อย ในทางตรงข้าม กลับเป็นกลุ่มคนที่สามารถทำลายคุณค่าประชาธิปไตยตั้งแต่รากฐานของคุณค่าประชาธิปไตยอย่างย่อยยับ
โดยเฉพาะการทำลายแนวคิดของความเห็นต่างที่กลุ่มผู้พิพากษาโซเชียลต่างก็พยายามส่งเสริมการเห็นต่างในโลกออนไลน์มาโดยตลอดก่อนหน้ารวมทั้งการสร้างบรรยากาศที่เป็นพิษต่อสังคมอย่างรุนแรง และทำให้สังคมมนุษย์เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยอคติและความหวาดระแวงกันและกัน
หวาดระแวงที่ว่าไม่ได้หมายถึงว่า ผู้คนกลัว ไม่กล้าเข้าสังคม แต่หมายถึงกลัวที่จะแสดงออกความเป็นตนเองออกมา และเลือกที่จะใส่หน้ากากเสแสร้งเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้พิพากษาโซเชียลคุกคาม ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายความหลากหลายทางความคิดและการแสดงออกทางสร้างสรรค์อย่างรุนแรงซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของแนวคิดประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสิทธิในการแสดงออกและความหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง
และถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สิ่งที่จะตัดสินจะไม่ใช่เพียงบริบทเหตุการณ์หรือรายละเอียดของเหตุการณ์เท่านั้น แต่จะหมายถึงกระแสสังคมที่จะตัดสินซึ่งถูกบ้าง ผิดบ้าง แล้วแต่ว่าผู้พิพากษาโซเชียลจะตัดสินใจ คงจะเป็นบรรยากาศที่อยู่ยากในสังคมประชาธิปไตยอยู่พอสมควร
ตำแหน่งผู้พิพากษาโซเชียลที่ดูเหมือนจะมีเกียรติ แต่จริง ๆ แล้ว นอกจากจะไม่มีเกียรติที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมแล้ว ยังเป็นโทษ เป็นมลภาวะทางความคิดและยังแพร่กระจายมลพิษไปยังที่อื่น ๆ อีกด้วย
วิธีการหนึ่งที่สามารถทุเลาพฤติกรรม “ผู้พิพากษาโซเชียล” ได้เป็นอย่างดี คือ การไม่สนใจและมีส่วนร่วมกับพวกเขา เพราะการไม่มีส่วนร่วมก็คือการตัดทอนกำลังความเชื่อมั่นของผู้พิพากษาโซเชียลและยังทำให้บรรดาคนตัดสินทิพย์ได้ตระหนักและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองเมื่อเจอสภาวะดังกล่าวมาก ๆ
แต่ก็มีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหา “ผู้พิพากษาโซเชียล” ได้อย่างเด็ดขาด เมื่อถูกคุกคามอย่างรุนแรงด้วยเหตุผลที่ไม่เป็นความจริงและยังนำพากลุ่มคนต่าง ๆ มาทัวร์ลงอย่างตามใจชอบ วิธีดังกล่าว คือ ”หมายศาลตราครุฑ” ยาแรงคุณภาพที่ดัดหลังบรรดาผู้พิพากษาโซเชียลมานักต่อนัก และคงเป็นวิธีการไม่กี่วิธีที่เป็นวิธีการที่ทรงพลังและสามารถรักษาสังคมที่เป็นประชาธิปไตยและรับฟังเหตุผลกันและกันได้ดีที่สุด
โดย ชย
#thestructure
#ผู้พิพากษาโซเชียล #หิวแสง #ทัวร์ลง #เห็นต่างอย่างสร้างสรรค์
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม