
ปฏิบัตินิยม ทฤษฎีสมดุลยภาพที่ขาดหายไปในการเมือง
“ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี” – เติ้งเสี่ยวผิง
วลีอมตะนี้คือวาทะที่นำไปสู่แนวทางการปฎิรูปประเทศจีนของเติ้ง เสี่ยวผิง นับตั้งแต่ที่เขาขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์จากการลงมือปฏิบัติจริง ไม่ยึดติดกับทฤษฎี ดั่งวาทะที่เขาได้กล่าวว่า “ปลดปล่อยความคิด ยึดติดความจริง” นั่นเอง [2]
และด้วยแนวคิดของเติ้งนี้เอง ที่เป็นรากฐานให้จีนเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน จนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกในปัจจุบัน
แนวคิดของเติ้งนั้น เติ้ง ไม่ปฏิเสธทฤษฎีมาร์กซิส-เลนินนิส หรือ แนวคิดของเหมา แต่เขาค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจสังคมของจีนอย่างประนีประนอม [3] เขาเปิดประเทศเพื่อน้อมรับความเจริญจากต่างชาติเข้ามาศึกษา พัฒนา ต่อยอด [4] และสนับสนุน “ลัทธิปฏิบัตินิยม” ทางเศรษฐกิจและการเมือง
ลัทธิปฏิบัตินิยมคืออะไร ? มาจากไหน ?
แนวคิด “ปฏิบัตินิยม” คือแนวคิดที่ให้ความสำคัญไปที่ “ความหมาย” และ “ความจริง” ซึ่งสิ่งใดที่คิดแล้วใช้ไม่ได้จริง ให้ถือว่าไร้ความหมาย การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้น ไม่ได้อยู่ที่การใช้ความคิด แต่อยู่ที่การรับรู้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และเรียนรู้ไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และน้อมรับมันเพื่อการสร้างความรู้ และสติปัญญา เพื่อใช้ในการบรรลุเป้าหมายของชีวิต และหากสิ่งใดที่ยังไม่รู้แน่ชัด ให้ยึดประสิทธิภาพในการปฏิบัติเอาไว้ก่อน
ลัทธิปฏิบัตินิยม มีกระบวนการในการหาความรู้และความจริงคล้ายคลึงกับหลักวิทยาศาสตร์ ด้วยเพราะนักปรัชญาสำคัญที่วางรากฐานของแนวคิดนี้คือ ชาเลส แซนเดอร์ เพิร์ส (Charles Sanders Peirce), วิลเลียม เจมส์ (William James) และ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) นั้น ล้วนมีพื้นฐานมาจากนักวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น
จีน ประยุกต์ใช้ปฏิบัตินิยมอย่างไร ?
ในสมัยที่เติ้ง เสี่ยวผิงยังเป็นผู้นำสูงสุดของจีนอยู่นั้น มีชาวบ้านหมู่บ้านหนึ่งเดือดร้อน และออกมารวมตัวกัน สร้างข้อตกลงร่วมกันว่า “แต่ละบ้านจะส่งผลผลิตเข้ากองกลางจำนวนหนึ่งตามที่ตกลงกันไว้ก่อน แต่ส่วนที่ปลูกได้เกินจะเก็บไว้กินกันเองในแต่ละบ้าน” การกระทำนี้ ผิดต่อกฎหมาย และหลักการของคอมมิวนิสต์ในเวลานั้นอย่างรุนแรง
แต่เติ้ง เสี่ยวผิงกลับตอบว่า น่าสนใจดี ลองดูสิ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ ผลผลิตของหมู่บ้านนี้สูงกว่าหมู่บ้านรอบข้างทั้งหมดและชาวบ้านก็พึงพอใจกับระบบนี้มาก เนื่องเพราะว่าชาวบ้านมีแรงจูงใจในการทำงาน “ทำมาก ได้มาก ทำน้อยได้น้อย” ผิดกับระบอบคอมมิวนิสต์เดิม ที่ขยันแค่ไหนก็ได้เท่าเดิม เป็นที่มาของ “ความเท่าเทียมที่ไม่ยุติธรรม”
เติ้ง ประกาศทุกหมู่บ้านทำแบบนี้บ้าง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของจีนเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด [8]
นี่คือข้อพิสูจน์ของเติ้งว่า ทุนนิยม ทำงานได้ดีกว่าในการสร้างเศรษฐกิจ แต่รัฐมิได้ปล่อยให้ทุนทำงานโดยเสรี รัฐมีหน้าที่ชี้นำทิศทางทุน ให้เป็นไปตามทิศทางที่ควรจะเป็น เพื่อสร้างความสมดุล และผาสุกในสังคม
ซึ่งหากเปรียบเทียบกันระหว่างทุนนิยมจีน กับทุนนิยมอเมริกัน จีนเห็นว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมขึ้น จนทำให้จีนกลายเป็นผู้นำโลกในด้านเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และพลังงานหมุนเวียน(Renewable Energy) ในขณะที่อเมริกาในยุคโดนัล ทรัมป์ อเมริกาหันหลับมาพึ่งพาพลังงานถ่านหินและน้ำมัน ที่ก่อมลพิษมากกว่าเดิม [9]
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า เติ้ง เสี่ยวผิง และรัฐบาลจีนในยุคต่อ ๆ มา มิได้ยึดติดกับแนวคิด อุดมการณ์ อีกต่อไป แต่ยึดติดกับการลงมือทำ ลงมือทดลอง ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยยึดติดกับ “ผลประโยชน์ของประชาชน และความผาสุกของสังคม” แทน
“ปลดปล่อยความคิด ยึดติดความจริง”
อ้างอิง :
[2] ปลดปล่อยประเทศจาก ‘ความคิดเก่า’
[3] THE YEARS OF HARDSHIP AND DANGER
[5] ปฏิบัตินิยม
[6] ญาณวิทยาบนรากฐานปฏิบัตินิยมของวิลเลียม เจมส์
[7] การใช้เหตุผลแนวปฏิบัตินิยม
[8] เติ้งเสี่ยวผิงกับจุดเปลี่ยนประเทศจีน
[9] Pragmatism heralds China’s century
[10] Pragmatism made China what it is
[11] How China’s Top-Down and Pragmatic Approach Made Them Widely Successful
ข่าวดีวงการรักโลก กับการตั้งโรงงานชุบชีวิตพลาสติกรีไซเคิลระดับ Food Grade แห่งแรกของไทย และใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทำความเข้าใจแนวคิดและวิธีการในการครอบงำทางความคิด และแผ่อิทธิพลทางวัฒนธรรม Pop-Culture
ปตท. สนับสนุนการบริหารจัดการน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน อย่างมีประสิทธิภาพ
ชย
ความจริงของโลกที่ยอมรับได้ยากที่สุด คือ ความจริงที่ขัดต่อความเชื่อของตน