ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘นายกสำรอง’ และกระบวนการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนนายกรัฐมนตรีที่พ้นสภาพ ก่อนครบวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี
นายกสำรอง เป็นคำพูดที่เริ่มมีการพูดถึงในข่าวการเมืองอยู่บ้างพอสมควรโดยเป็นการสื่อถึงกรณีที่หากนายกรัฐมนตรีหลักปัจจุบันพ้นตำแหน่งก็จะมีการหาผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเข้ามาแทนที่ ซึ่งตรงนี้คือ นายกสำรอง ก่อนที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งในระดับชาติตามวาระของสภาผู้แทนราษฎรที่หมดลง
จุดสำคัญของเรื่องนี้ คือ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีกระบวนการในการเข้าสู่ตำแหน่งในหลายรูปแบบ รูปแบบแรกที่เป็นอะไรที่คุ้นเคยกันดี คือ การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาเดียวกับวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตรงนี้สามารถเรียกว่า นายกรัฐมนตรีหลัก ก็ได้ เพราะด้วยวิธีการดำรงตำแหน่งในรูปแบบนี้สามารถดำรงตำแหน่งได้จนจบวาระ 4 ปีบริบูรณ์พร้อมกับ ส.ส. ได้เลย
รูปแบบต่อไปที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือ นายกรัฐมนตรีหลักพ้นตำแหน่ง และต้องมีการเลือกคนเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในรัฐสภาซึ่งในแต่ละพรรคการเมืองก็จะมีบัญชีรายชื่อเสนอชื่อบุคคลที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสมอ
ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งก็จะให้พรรคการเมืองต่าง ๆ เสนอชื่อผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากในบัญชีรายชื่อตัวแทนพรรคการเมืองที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ใช่บัญชีรายชื่อลำดับ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อแต่อย่างใด เมื่อมีการเสนอชื่อเสร็จก็จะให้รัฐสภาทำการเลือกรายชื่อผู้ที่ถูกเสนอชื่อขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งผู้ที่ได้สิทธิ์ดำรงตำแหน่งก็จะคงตำแหน่งได้จนกว่าวาระของ ส.ส. จะหมดลง
แต่ก็มีอีกกรณีหนึ่งที่มีความสนใจ คือในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 ได้มีการเปิดทางให้สามารถมีการเลือกนายกคนนอก ซึ่งก็คือ บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะมีการเสนอขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยพรรคการเมือง จะเป็นใครก็ได้ที่ไม่ละเมิดกฎหมายสิทธิ์ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น เคยกระทำความผิดร้ายแรงและถูกศาลพิพากษาเป็นที่สิ้นสุด หรือโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองจากสาเหตุต่าง ๆ
ตรงนี้จึงมีความสนใจที่ว่า เมื่อมีการเปิดทางให้เลือกนายกคนนอกนั้น จะง่ายเท่าการเลือกนายกคนในหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ เพราะจะต้องมีการใช้มติความเห็นชอบถึง 2 ใน 3 ของรัฐสภา ในขณะที่การเลือกนายกคนในจะใช้มติความเห็นชอบเพียงกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด ต่างกันเห็น ๆ
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า นายกสำรองนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ หลายวิธี และมีเงื่อนไขหลายอย่างที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ การอ่านข่าวการเมืองซึ่งมักเป็นข่าวสารที่มีมุมมอง ความคิด และทัศนคติที่หลากหลายและไม่ตายตัว ควรจะมีวิจารณญาณในการอ่านข่าวสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะข่าวสารการเมืองมักเป็นข่าวสารที่มีความรวดเร็วและมักเต็มไปด้วยการคาดเดาที่อาจมีความจริงและความเท็จปนกันอยู่อย่างที่เราเองก็คาดไม่ถึงอยู่เช่นกัน
โดย ชย
“อาการโหยหาอดีตเทียม” เครื่องมือสำคัญในสงครามสื่อมวลชน ที่ประชาชนต้องรู้เท่าทัน
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม