
ตีแผ่ความหมาย “พลเมืองโลก” หนึ่งในวาทกรรมเคลือบพิษ ต้นตอความแตกแยกที่เติบโตด้วยแนวคิดที่บิดเบี้ยว
ในปัจจุบัน คนไทยที่เรียกตัวเองว่าเป็น “คนรุ่นใหม่” นั้นดูเหมือนจะมีความรู้สึกอึดอัดหรืออัดอั้นกับสังคมและการเมืองไทยในประเด็นต่าง ๆ มากมายจนบางครั้งพวกเขาเหล่านั้นก็เกิดความรังเกียจเดียดฉันท์สังคมไทย วัฒนธรรมประเพณีไทย หรือกระทั้งรังเกียจคนไทยด้วยกันเอง คนไทยกลุ่มนี้จำนวนหนึ่งนั้นอาจจะพยายามถอยห่างจากความเป็นไทยออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งอาจจะปฏิเสธว่าตัวเองเป็นคนไทยไปเลยด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะในมโนทัศน์ของคนยุคปัจจุบันจำนวนมากที่พยายามมองโลก มองสังคมและการเมือง รวมทั้งค้นหาความหมายของชีวิตผ่านการยึดถือหรือสร้างอัตลักษณ์ตัวตนของเขามาเป็นหลักสำคัญ หรือที่เรียกกันว่า identity politics ตัวอย่างเช่น มองโลกด้วยสตรีนิยมผ่านตัวตนที่เป็นหญิง, มองโลกด้วยแนวคิดเสรีทางเพศผ่านตัวตนที่เป็น LGBTQ+, มองโลกด้วยแนวคิดคอมมิวนิสต์ผ่านตัวตนที่เป็นแรงงาน เป็นต้น การที่พวกเขาถูกมองว่าเป็นคนไทย นั้นคือว่าเขามีอัตลักษณ์ตัวตนเป็นไทยนั้นก็อาจจะทำให้เขาผู้นั้นรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาได้ เพราะความเป็นไทยกลายเป็นอัตลักษณ์ที่พวกเขาปฏิเสธให้เป็นอื่นไปแล้ว
แต่คำถามคือ เมื่อปฏิเสธความเป็นไทย ไม่เป็นคนไทย ไม่เป็นพลเมืองไทย แล้วเขาจะถือว่าตัวเองเป็นอะไร เป็นคนหรือเป็นพลเมืองอะไร
สิ่งหนึ่งที่สื่อออนไลน์หลายสำนักและบรรดา อินฟลูเอ็นเซอร์ หรือผู้มีอิทธิพลทางความคิดในสังคมออนไลน์ไทยยุคปัจจุบันต่างพยายามที่จะนำเสนอให้เป็นทางออกหนึ่งซึ่งตรงกับจริตของ “คนรุ่นใหม่” นั่นก็คือแนวคิด “พลเมืองโลก” นั่นเอง
“พลเมืองโลก” คืออะไร ถ้าจะให้อธิบายอย่างง่าย ๆ ก็คือการที่คน ๆ หนึ่งมองว่าตัวเองไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง เกี่ยวพัน มีความสัมพันธ์ หรือมีอัตลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับประเทศหรือรัฐชาติที่ตนเองเกิดมา แต่มองว่าตัวเองนั้นเป็นเพียง “ชาวโลก”
พูดอีกมุมหนึ่งก็คือ การที่เขาคนนั้นปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่พลเมืองของประเทศชาติ ทิศทางที่เขาจะมองต่อไปหลังจากนั้นก็มีเพียงสองนั้นคือ มองลงไปอีกระดับหนึ่งว่าตนเองนั้นเป็นพลเมืองของจังหวัด, ของเมือง หรือของชุมชน ซึ่งคือหนึ่งในตัวขับเคลื่อนแนวคิด “ท้องถิ่นนิยม” (localism) หรือไม่เช่นนั้นก็เหลือเพียงการมองขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง นั่นก็คือมองว่าตนเองเป็นพลเมืองของโลกทั้งใบ
ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับคนที่มองว่าตัวเองเป็น “พลเมืองโลก” นั้นก็คือ การเป็นพลเมืองของประเทศชาตินั้น ก็ยังคงมีภาคประชาสังคมที่ประชาชนจะมีส่วนร่วม และมีภาครัฐที่มีหน้าที่ปกป้องและคุ้มครองประชาชนในสังคม หรือการมองลงไปในระดับจังหวัด, เมือง หรือชุมชน ก็ยังคงมีพื้นที่ที่เราจะสามารถเข้าไปมีส่วนรวม และมีโครงสร้าง, องค์กร หรือหน่วยงานอย่างเป็นทางการของชุมชนนั้น ๆ เช่น ผู้ว่าราชการ, อบจ.-อบต., ผู้ใหญ่บ้าน, หัวหน้าชุมชน ฯลฯ ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการและปกครอง
แต่ “พลเมืองโลก” นั้นไม่สามารถมีส่วนร่วมโดยตรงกับ “โลก” ได้ ไม่สามารถเรียกร้องหรือผลักดัน “โลก” ในฐานะที่เท่าเทียมกับหน่วยงานอย่างเป็นทางการ นั่นก็เพราะโลกยังไม่มี “รัฐบาลโลก” หรือ “หน่วยงานปกครองโลก” และเพราะว่าโลกนี้ก็เต็มไปด้วยหน่วยสูงสุดนั่นคือ “รัฐชาติ” การปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่พลเมืองของประเทศชาติหนึ่ง ๆ หากไม่ใช่การย่อตัวเองลงไปอยู่ในระดับท้องถิ่น แต่ขยายไปเป็น “พลเมืองโลก” นั่นจึงไม่ต่างกับการที่เอาตนเองไปสู่สังคมที่ไม่มีอยู่จริงและไม่สามารถใช้งานผ่านโครงสร้างใด ๆ ได้
ศาสตราจารย์ภิขุ โฉเฐลาล ปาเรข (Bhikhu Chotalal Parekh) นักทฤษฎีรัฐศาสตร์ อาจารย์ด้านปรัชญารัฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยฮัลล์ (University of Hull) และมหาวิทยาลัยเวสต์มินสเตอร์ (University of Westminster) อีกทั้งยังเป็นประธานสถาบันสังคมศึกษา (Academy of Social Sciences) ระหว่างปีค.ศ. 2003-2008 และเป็นสมาชิกสภาขุนนางอังกฤษ-เชื้อสายอินเดีย พรรคแรงงาน (Labour Party) ได้เขียนไว้ในบทความชื่อ “Cosmopolitanism and Global Citizenship ” ในวารสาร Review of International Studies ของสมาคมภาควิชาสากลศึกษาแห่งบริเตน (British International Studies Association) โดยกล่าวไว้ว่า
“ระเบียบ[โลก] นั้นยังไม่กลายมาเป็นเมือง ๆ เดียว และเรานั้นก็ไม่ควรจะพยายามทำให้มันเป็นหนึ่งเดียวด้วยการสร้างรัฐโลก (world state) ซึ่งก็จะหนีไม่พ้นว่าจะเป็น[รัฐ]ราชการ, มีความกดขี่, และจืดชืดทางวัฒนธรรม ถ้าคำว่าพลเมืองโลก หมายถึงการเป็นพลเมืองของโลก[ทั้งใบ] มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้หรือน่าใฝ่หา…พลเมืองโลกหรือทั่วโลก (global or cosmopolitan citizen) ซึ่งเป็นผู้ที่อ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของโลกทั้งใบนั้นไม่มีบ้านทางการเมืองเป็นของตัวเองและอยู่ในสภาวะ…‘เนรเทศตัวเองโดยสมัครใจ’ (voluntary exile) อย่างไรก็ตามการเป็นพลเมืองที่มองเห็นโลกทั้งใบ (global oriented citizen) นั้นคือการที่มีบ้านอันทรงคุณค่าเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นจุดที่เขาผู้นั้นสามารถยื่นมือออกไปและสร้างสายสัมพันธ์ต่าง ๆ กับผู้คนอื่น ๆ ที่มีบ้านของเขาเช่นเดียวกัน” [1]
ไม่เพียงแต่การเป็นพลเมืองโลกนั้นจะไม่ต่างกับการเนรเทศตนเองให้เป็นผู้ไร้บ้านแล้ว แนวคิดพลเมืองโลกยังสามารถที่จะถูกมองได้อีกด้วยว่าเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับระบบเสรีนิยมใหม่ (neoliberal) ที่เป็นหัวใจหลักของการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่นำโดยมหาอำนาจตะวันตก ซ้ำแล้วผู้ที่เชื่อว่าตนเองสามารถที่จะเป็นพลเมืองโลกได้นั้น ก็อาจกล่าวได้ว่ายังไม่เข้าใจว่าพลเมืองตัวจริงนั้นไม่ใช่ประชาชนคนทั่วไป แต่คือบริษัทข้ามชาติและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่างหากที่เป็นพลเมืองโลกที่แท้จริง ตามที่บทความชื่อ “Global Citizenship as Neoliberal Propaganda: A Political-Economic and Postcolonial Critique ” ซึ่งลงในวารสารของกลุ่มวิจัยทางสังคมวิพากย์แห่งหนึ่งของประเทศแคนาดา (Alternate Routes: A Journal Critical Social Research) ที่กล่าวไว้ว่า
“รัฐเสรีนิยมใหม่ (neoliberal state) อ้างผ่านแนวคิดโลกาภิวัตน์ ว่ามันต้องการล้มเลิกเขตแดนของรัฐชาติ เพื่อเป้าหมายในการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก ในนามของการค้าเสรี ซึ่งธุรกรรมเหล่านั้นก็ถูกควบคุมด้วยข้อบังคับโดยสถาบันระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์การการค้าโลก (World Trade Organization) ซึ่งเป็นผู้นิยามสิทธิและหน้าที่ของตัวตนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตัวตนเหล่านี้คือตัวตันที่ไม่ยึดโยงกับรัฐชาติอีกต่อไป (de-nationalized)…ส่วนมากก็คือบริษัทเอกชนที่ถูกนิยามว่าเป็นนิติบุคคล…ในทางปฏิบัติแล้ว พวกเขาเหล่านี้นั้นแหละ คือ พลเมืองโลกที่แท้จริง ภายในระเบียบโลกแบบเสรีนิยมใหม่” [2]
แน่นอนว่าความอึดอัดหรือกดดันที่เกิดขึ้นในสังคมอาจทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งนั้นมองไม่เห็นถึงความสำคัญของการเป็นพลเมืองของประเทศชาติ หรือเป็นสมาชิกของสังคม ๆ นั้นอีกต่อไป แต่การตกลงอยู่ในวาทะกรรม “พลเมืองโลก” นั้นไม่เพียงแต่จะไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่ยังเป็นเพียงการตกหลุมพรางของการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อของระบบเสรีนิยมใหม่แห่งการเมืองและเศรษฐกิจโลกซึ่งมีความอยุติธรรมเสียยิ่งกว่า ทางออกที่ดีที่สุดนั้นจึงไม่ใช่การละทิ้งความเป็นพลเมืองของตัวเองเพื่อไปไล่ตามอัตลักษณ์ที่ไม่มีอยู่จริงของคำว่า “พลเมืองโลก” แต่ควรเป็นการร่วมกันเผชิญหน้าและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นร่วมกันกับพลเมืองผู้เป็นเพื่อนสมาชิกในสังคมของตน
‘ลิเบอรัล’ ที่ไม่ ‘ลิเบอรัล’ รู้ความหมายที่แท้จริงของ ‘ลิเบอรัล’ ที่อาจจะทำให้เหล่า ‘ลิเบอรัล’ ในปัจจุบัน ไม่มีความ ‘ลิเบอรัล’ อยู่ในตัวเลย
บทเรียนราคาแพง การตลาดแบบ Woke ที่เปลี่ยน Budweiser จากราชาเบียร์แห่งสหรัฐอเมริกา ให้เสียแชมป์ตลอด 20 ปีและฐานแฟนคลับไปอย่างรวดเร็ว
เปิดโปงขบวนการปาล์มอินโด โจมตีผู้บริหาร PTT และ OR ด้าน DSI ชี้ยังไม่มีการสรุปสำนวนตามที่อ้างกัน
ใบ๋นู แขกนอก
แขกไทยผู้ไปเรียนและใช้ชีวิตที่เมืองนอก ชอบศึกษาประวัติศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา วัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การต่างประเทศ