ชี้ WorkpointTODAY ให้ข้อมูลบิดเบือน กรณี พ.ร.บ. กู้เงิน 2 ล้านล้าน ในสมัยที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ดำรงค์ตำแหน่งรมว.คมนาคม
เมื่อวาน (24 พ.ค.) ผู้ใช้เฟสบุค Traipop Srikeawnit โพสต์พาดพิง WorkpointTODAY ว่านำเสนอข้อมูลเท็จ โดยชี้แจงว่า กฎหมายกู้เงิน พ.ร.บ. 2 ล้านล้าน ในสมัยที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ดำรงค์ตำแหน่งรมว.คมนาคม นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ และมีความพยายามทำลายความโปร่งใส พยายามฉ้อราษฎร์บังหลวง พยายามทำลายวินัยการคลัง และอาจส่อที่จะเกิดทุจริตแบบที่เคยเกิดกับคดีจำนำข้าวจนเกิดความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท
มิได้เป็นเพราะศาลรัฐธรรมนูญกล่าวว่าทำถนนลูกรังให้หมดไปจากประเทศไทย ก่อนที่จะคิดถึงระบบรถไฟความเร็วสูง ตามที่ WorkpointTODAY นำเสนอแต่อย่างใด
โดยผู้ใช้เฟสบุค Traipop Srikeawnit โพสต์ข้อความทั้งหมด ดังนี้
“WorkpointTODAY นำเสนอข้อมูลเท็จนะครับ
Highligh : การที่กฎหมายกู้เงิน พรบ. 2 ล้านล้านไม่ได้ไปต่อ ไม่ใช่เพราะเหตุผล เพราะถนนลูกรังยังไม่หมดไป ตามที่สื่อและสังคมบางส่วนพยายามที่จะบิดเบือนเพื่อกลบเกลื่อนความรับผิดชอบของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีชัชชาติเป็น รมว.คมนาคม ณ ขณะนั้น ซึ่งมีส่วนทำให้โครงการก่อสร้างล่าช้า เพราะต้องชะลอโครงการต่าง ๆ ไว้ก่อนเพื่อที่จะออกกฎหมายนี้
ตัวกฎหมายกู้เงินนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และมีความพยายามทำลายความโปร่งใส พยายามฉ้อราษฎร์บังหลวง พยายามทำลายวินัยการคลัง และอาจส่อที่จะเกิดทุจริตแบบที่เคยเกิดกับคดีจำนำข้าวจนเกิดความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท
โดยรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 169 ระบุชัดเจนว่า #การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมาย 4 ฉบับดังนี้
1. งบประมาณรายจ่าย
2. วิธีการงบประมาณ
3. เกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ
4. ว่าด้วยเงินคงคลัง
แต่ พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น เป็นกฎหมายที่อยากจะนำเงินแผ่นดินไปจ่าย แต่กลับไม่อยู่ 4 กลุ่มประเภทตามที่ รธน. 50 มาตรา 169 บัญญัติไว้ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดและแย้งกับรัฐธรรมนูญ 2550 หมวด 8
– รายละเอียด –
– บทนำ –
สาระสำคัญทำไมหมวด 8 (มาตรา 166 – 170) รธน. ปี 50 จึงสำคัญมากในระบบการคลังของไทย นั่นเพราะ
1. ความโปร่งใส (TRANSPARENCY) รัฐบาลมีหน้าที่นำ เสนอร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่าย เพื่อให้รัฐสภาผ่านเป็นกฎหมายหรือเพื่อทราบในกรณีที่เป็นเงินนอกงบประมาณ ซึ่งจะต้องแสดงรายละเอียดต่างๆ และเปิดเผยต่อสาธารณะ ทำ ให้สามารถ ตรวจสอบได้
2. การถ่วงดุล (CHECKS AND BALANCES) แม้ว่าอำนาจการเห็นชอบงบประมาณรายจ่าย เป็นของรัฐสภา แต่ รัฐธรรมนูญ 2550 หมวด 8 ก็มีการกำหนดเงื่อนเวลา และกติกา เงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้สมาชิกรัฐสภา องค์กรอิสระ และรัฐบาลต้องทำ งานร่วมกัน ในการพิจารณางบประมาณรายจ่าย
เพื่อให้สามารถผ่านเป็นกฎหมายบังคับใช้ได้ อย่างเหมาะสม และเพียงพอต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้ ไม่เกิดกรณีเช่น การปิดชั่วคราว (Temporary Shutdown) ของหน่วยราชการ ของสหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคม 2556 อันเนื่องจากรัฐบาลไม่อาจบรรลุข้อตกลง กับฝ่ายค้านในสภาได้ทันเวลา
3. การรักษาความมั่นคงของระบบการคลัง (FISCAL INTEGRITY) การใช้จ่ายและการบริหาร การเงินของหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ทั้งที่ผ่านงบประมาณแผ่นดิน และนอกงบประมาณ ต้องอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้มีการใช้จ่ายเกินตัว หากมีเหตุ จำ เป็นต้องใช้เงินคงคลังไปก่อน ก็ต้องหารายได้มาชดเชยให้ในปีถัดไปเพื่อไม่ให้ เงินคงคลังหร่อยหรอลง
4. ความคล่องตัว (FLEXIBILITY) แม้ว่าอำนาจการอนุมัติงบประมาณรายจ่าย อยู่กับรัฐสภา แต่ในบางกรณี เช่น กรณีฉุกเฉิน จำ เป็นเร่งด่วน หรือกรณีที่รัฐสภา อนุมัติงบประมาณรายจ่ายไม่ทันตามเวลาที่กำหนด ก็มีทางออกให้ฝ่ายบริหาร สามารถดำ เนินการเพื่อใช้งบประมาณรายจ่ายได้ และรายจ่ายพิเศษบางรายการที่ มีกฎหมายอนุญาตไว้
++++
ดังนั้น รัฐบาลมีหน้าที่ต้องบริหาร 2 ขา
ขาที่ 1 คือ บริหารรายได้ รวมถึงเงินกู้ ขาที่ 2 การบริหารรายจ่ายในบางประเภท โดยมีกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลไว้ทั้ง 2 ขาซึ่งต้องกระทำภายใต้กรอบของกฎหมายที่วางไว้
โดยในส่วนขาที่ 2 การบริหารรายจ่ายนั้น รัฐบาลต้องจัดทำ “งบประมาณรายจ่าย” เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภาทุกปี ย้ำ ทุกปี ทั้งนี้ต้องมีการจัดทำประมาณการรายได้ ประกอบการพิจารณารายจ่ายด้วย จะได้รู้ว่า เกินดุล หรือขาดดุลมากน้อยเพียงใด
โดยกฎหมาย ได้กำหนดให้ รัฐบาลต้องจัดทำ “งบประมาณรายจ่าย” อยู่ในรูปแบบของพระราชบัญญัติ ที่ต้องผ่านสภา รัฐบาลจะไปมุบมิบออกกันเองไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดเลย คือ มีกระบวนการที่ซับซ้อนและละเอียดกว่ากฎหมายโดยทั่วไป อาทิ รัฐบาลต้องมีรายละเอียดข้อมูล ต้องผ่านชั้นกรรมาธิการ ตรวจสอบทั้ง เหตุผล ความจำเป็น ความเหมาะสม ความพร้อมอย่างถี่ถ้วนที่สุด
อาจมีการขอให้เรียกหน่วยงานต่าง ๆ ที่เป็นฝ่ายปฎิบัติหรือใช้เงินนี้เข้ามาชี้แจงอีกด้วย หลังจากนั้นจึงจะเข้าสู่สภา และเมื่อผ่านสภา รัฐบาลถึงจะนำเงินไปใช้ได้
ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีความซับซ้อน และมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ นั้นก็เพื่อให้การใช้จ่ายเงินแผ่นดินนั้นโปร่งใส และรักษาความมั่นคงทางการคลังให้มากที่สุด
หลังจากปูพื้นความรู้เบื้องต้นแล้ว คราวนี้เรามาเจาะลึกถึงตัว พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้านกันบ้าง
กฎหมายนี้ คืออะไร ? กฎหมายต้องการให้อำนาจรัฐบาลสามารถกู้เงินจำนวน 2 ล้านล้านบาทเป็นเวลา 7 ปีเพื่อไปสร้างระบบขนส่งทั่วประเทศ แปลว่า ?
- การกู้นี้ผูกพันวงเงินสูงมากถึง ร้อยละ 80 ของงบปี 56
- ผูกพันระยะเวลาไปถึงเกินรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ และ กินไปถึงรัฐบาลอีก 2 ชุด
- กฎหมายนี้ทำตัวเองเป็น 2 หน้าที่ หน้าที่แรก คือ กฎหมายกู้เงิน หน้าที่ ที่สองคือ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายด้วย เพราะมีบัญชีแนบท้ายที่กำหนดแผนงาน และวงเงิน ที่รวบอำนาจเบ็ดเสร็จให้รัฐบาลสามารถใช้จ่ายได้เลยทันที โดยไม่ผ่านประบวนการกลั่นกรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนอย่างที่ พรบ.งบประมาณรายจ่าย จะต้องทำซึ่งผมได้อธิบายไปแล้วข้างต้น
จุดนี้นับว่าเป็นไพ่ตายสำคัญเลยทีเดียวที่ทำให้กฎหมายฉบับนี้ตกไป
พูดง่าย ๆ คือ กฎหมายนี้แทบจะทำตัวเป็นธานอส ที่เพียงแค่คุณดีดนิ้ว ผู้มีอำนาจก็สามารถอ้างเหตุใด ๆ ก็ได้ในการใช้จ่าย เพราะกฎหมายฉบับนี้มีแค่ แผนงาน (ที่ยังไม่ผ่านการกลั่นกรอง) และวงเงิน (ที่ยังไม่ผ่านการศึกษา)
และนั่น กฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านนี้แทบจะทำให้ ความพยายามที่จะควบคุมการใช้เงินแผ่นดินต้องโปร่งใส และมั่นคงทางการคลังแทบจะไร้ความหมาย เพราะหากกฎหมายกู้เงินฉบับนี้ผ่านสภา รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็จะใช้แค่ มติ ครม. มากำหนดรายการจ่ายเงินกันเองได้อย่างอิสระ (ดึงเงินจากคลังมาได้โดยไม่ต้องผ่านสำนักงบประมาณ)
ถ้าเรายังจำกันได้ตอนที่สภามีการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี มีการถ่ายทอดสด มีการอภิปรายงบแต่ละกระทรวงให้เราได้เห็นเพื่อความโปร่งใส นั่นแหละครับคือความสำคัญของการออกเป็น พรบ.งบประมาณฯ
แต่นี้ไม่ใช่ พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน กลับจะให้อำนาจฝ่ายบริหาร กู้เงินเอง จัดสรรงบเอง อนัมุติเงินเอง สั่งจ่ายเงินเอง แถมปรับเปลี่ยนรายการได้เองตามใจชอบ เช่นนี้ก็มันขัดแย้งกับหลักการของหมวด 8 รัฐธรรมนูญ ที่อยากให้การใช้จ่ายเงินแผ่นดินนั้น อยู่ในกรอบวินัยการคลัง โปร่งใส มีระบบถ่วงดุล
หากเราเปรียบเทียบการใช้จ่ายเงินแผ่นดินระหว่าง 2 กฎหมาย คือ พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน และ พรบ.งบปี 56 กลับพบว่า
พรบ.งบปี 56 มีแผนงานละเอียดถึง 990 แผนงาน สำหรับวงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท แต่ พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ที่ใช้วงเงินถึง 2 ล้านล้านกลับมีแผนงานเพียงแค่ 8 แผนงาน โอ้แม่เจ้า !!
โดยรัฐสภาซึ่งขณะนั้นคุมเสียงข้างมากโดยเพื่อไทยได้อนุมัติเงินก้อนใหญ่นี้ โดยมีแผนงานแค่ 8 แผนงาน และให้อำนาจรัฐบาลไปสั่งจ่ายกำหนดวงเงินที่มีผลในทางปฎิบัติเองภายหลังได้ การกระทำนี้จึงเปรียบเสมือน เขียนเช็คสั่งจ่ายใบใหญ่ 2 ล้านล้านบาท โดยไม่ระบุเงื่อนไขใด ๆ
– พาร์ทจบบทสรุป –
การที่กฎหมายกู้เงิน พรบ. 2 ล้านล้านไม่ได้ไปต่อ ไม่ใช่เพราะเหตุผล เพราะถนนลูกรังยังไม่หมดไป ตามที่สื่อและสังคมบางส่วนพยายามที่จะบิดเบือนเพื่อกลบความรับผิดชอบของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีชัชชาติเป็น รมว.คมนาคม ณ ขณะนั้น ทำให้โครงการก่อสร้างล่าช้า เพราะต้องชะลอโครงการต่าง ๆ ไว้ก่อนเพื่อที่จะออกกฎหมายนี้
ตัวกฎหมายกู้เงินนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มีความพยายามทำลายความโปร่งใส พยายามฉ้อราษฎร์บังหลวง พยายามทำลายวินัยการคลัง และอาจส่อที่จะเกิดทุจริตแบบที่เคยเกิดกับคดีจำนำข้าวจนเกิดความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท
โดยรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 169 ระบุชัดเจนว่า #การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมาย 4 ฉบับดังนี้
- งบประมาณรายจ่าย 2. วิธีการงบประมาณ 3.เกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ 4. ว่าด้วยเงินคงคลัง
แต่ พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น เป็นกฎหมายที่อยากจะนำเงินแผ่นดินไปจ่าย แต่กลับไม่อยู่ 4 กลุ่มประเภทตามที่ รธน. 50 มาตรา 169 บัญญัติไว้ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดและแย้งกับรัฐธรรมนูญ 2550 หมวด 8
ปล. ในปัจจุบัน ก็มีโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน หรือ การก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ ซึ่งก็สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง โปร่งใส ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีความจำเป็นต้องไปออก พรบ. กู้เงิน 2 ล้านล้านแบบในอดีตให้ผิดกฎหมาย จนเสียโอกาสการพัฒนาประเทศเลย
ดังนั้น หากจะโทษใครที่ทำให้โครงการ 2 ล้านล้านนั้นไม่ผ่าน อย่าโทษศาลรัฐธรรมนูญ เพราะศาลตัดสินได้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่จงโทษรัฐบาลที่พยายามผลักดันกฎหมายฉบับนี้ จนทำให้ประเทศเสียหาย และโอกาส
ปล. ผมไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับชัชชาตินะครับ ชื่นชมเป็นการส่วนตัวด้วย และอยากเห็นประเทศพัฒนา แต่ต้องไม่ใช่การบิดเบือนความผิด และโทษคนอื่นเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด”
ยืนยันแจกเงินทุกคน ‘เศรษฐา’ ยืนยันเดินหน้าแจกเงินดิจิทัล ชี้ ผู้เชี่ยวชาญที่เห็นด้วยก็มี ต้องรับฟังจากทุกฝ่าย
สร้างงาน สร้างรายได้ ประชุมกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ ครั้งที่2/2567 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
วิศวกรหญิงไทยบนเวทีระดับโลก วิศวกรดาวเทียมสาวจาก GISTDA ได้รับเลือกนำเสนอผลงาน บนเวทีของสหพันธ์อวกาศนานาชาติ
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม