Articlesความกตัญญู ภายใต้สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป และบุคลากรที่ควรแก่คำว่า ‘บุพการี’

ความกตัญญู ภายใต้สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป และบุคลากรที่ควรแก่คำว่า ‘บุพการี’

เป็นเหมือนดราม่าประจำเทศกาลไปแล้ว ไม่ว่าเมื่อถึงวันพ่อ หรือวันแม่ ก็จะมีดราม่าว่าด้วยเรื่องของความกตัญญู ตามมาด้วยเสมอ ๆ

 

ซึ่งดราม่านี้ มีที่มาจากชุดความคิด “พ่อแม่แค่สนุกกันจนมีลูกเกิดขึ้นมา จึงมีหน้าที่เลี้ยงดูลูก ไม่ใช่หนี้บุญคุณแต่อย่างใด และลูกก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตอบแทนหนี้บุญคุณ” นั่นเอง

 

หรือแม้แต่ดราม่าแปลก ๆ ที่มีบางคนพยายามผูกโยงว่า ความกตัญญูเป็นโฆษณาชวนเชื่อของรัฐ เพื่อโยนภาระการเลี้ยงดูคนชราไปให้ประชาชน

หรือพูดง่าย ๆ ว่า ชุดความคิดของคนกลุ่มนี้คือ “การเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นหน้าที่ของรัฐ ไม่ใช่ของประชาชน” ซึ่งเป็นชุดความคิดที่ต่อขยายออกมาจากชุดความคิด “ลูก ไม่ได้ติดหนี้บุญคุณพ่อแม่” นั่นเอง

 

อย่างไรก็ตาม เราหลีกหนีข้อเท็จจริงไม่ได้เช่นกันว่า สภาพสังคมในปัจจุบัน ปัญหาการใช้ความรุนแรงกับเด็กนั้น มีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จริง

จากรายงานของกองพัฒนานโยบายและนวัตกรรมทางสังคม, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พ.ม.) เรื่อง “ข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก” ระบุว่า เด็กไทยบางส่วนขาดความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว

รายงานฉบับนี้ยังอ้างถึง ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ประเทศไทย พบว่า เด็ก 4.2% ถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง โดยผู้ปกครอง ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึงการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมในรูปแบบอื่น ๆ เช่นการล่วงละเมิดทางเพศ การล่วงละเมิดทางจิตใจ การทอดทิ้งหรือการแสวงหาประโยชน์อื่น

 

นอกจากนี้ จากผลการสำรวจขององค์การยูนิเซฟ ร่วมกับสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย โดยมุ่งศึกษาผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 ต่อเด็กและเยาวชนในประเทศไทย โดยมีการสอบถามผ่านแบบสอบถามออนไลน์ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึง 6 เมษายน จากเด็กและเยาวชน 6,771 คนทั่วประเทศ พบว่า

 

เด็กจำนวน 7% รู้สึกกังวลเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เช่น การทะเลาะกันของผู้ปกครองและการทำร้ายร่างกาย

 

และถึงแม้ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2559 – 2563 จำนวนเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวทางร่างกาย และทางเพศจะลดลงมาบ้างแล้วก็จริง

แต่จำนวนเด็กที่ถูกทำร้ายจิตใจนั้น ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

นอกจากนี้ นี่คือสถิติจากจำนวนที่พบ แต่ตัวเลขจริงนั้น ไม่มีใครทราบเลย

 

ที่สำคัญ นี่คือแนวโน้มของปัญหาสังคมที่โลกของเรากำลังเผชิญ เป็นปัญหาหนึ่งที่องค์กรอนามัยโลกให้ความสำคัญ

 



สิ่งที่สะท้อนปัญหานี้ออกมา คือพฤติกรรมของพ่อแม่บางคน ก็ชวนให้สังคมกังขา ถึงความน่าเคารพยกย่องในฐานะพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด

หลายครั้งที่มีข่าวเด็กถูกทำร้าย โดยคู่สมรสใหม่/คนรักใหม่ของผู้ให้กำเนิด ในขณะที่ผู้ให้กำเนิดกลับเพิกเฉย ไม่ให้การช่วยเหลือ ด้วยกลัวว่าจะถูกคนรักใหม่ของตนนั้นทิ้งไป

 

หรือในบางกรณี ผู้ที่ลงมือทำร้ายเด็ก กลับเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเสียเอง



ไม่นานมานี้ ได้มีเหตุการณ์ที่สังคมแสดงความรู้สึกสงสัยต่อพฤติกรรมของ “มารดาผู้ให้กำเนิด” ของดาราท่านหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตระหว่างการท่องเที่ยวทางน้ำ

 

ซึ่งมารดาท่านนี้ หย่าร้างกับคุณพ่อของดาราท่านนี้ไป ตั้งแต่เมื่อเธอยังเยาว์

เหตุเพราะคุณพ่อของเธอในเวลานั้นยากจน แต่คู่รักใหม่ร่ำรวยด้วยฐานะ และหน้าที่การงานมากกว่า

ที่สำคัญคือ ยามยากไม่เคยเหลียวแล แต่ยามที่มีชื่อเสียงถึงกลับมาเรียกร้องขอรับการสนับสนุนทางการเงิน และแสดงตนเป็นเจ้าของมรดกของผู้วายชนม์

พฤติกรรมเช่นนี้สมควรได้รับการเคารพยกย่องในฐานะผู้ให้กำเนิดด้วยหรือ ?



กรณีเช่นนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเกาหลีใต้ เมื่อ “คูฮารา” อดีตสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป KARA เสียชีวิต ใน พ.ศ. 2562 แต่คุณแม่ผู้ให้กำเนิดคูฮารา ผู้ซึ่งหย่าร้างกับคุณพ่อของเธอ และทิ้งเธอไว้ไม่เคยหันกลับมาเหลียวแลนานเป็นสิบ ๆ ปี กลับยื่นร้องต่อศาล ขอรับมรดกของเธอเป็นจำนวนถึง 50%

เหตุผลเดียวคือเพราะเธอ คือ มารดาผู้ให้กำเนิดของคูฮารา

 

คู โฮอิน พี่ชายของคู ฮารา “ไม่เห็นด้วย” กับพฤติกรรมของมารดาผู้ให้กำเนิดอย่างรุนแรง ในเมื่อที่ผ่านมา ไม่เคยรับผิดชอบ ดูแลเลี้ยงดู

แล้วจะมาอ้างสิทธิในฐานะผู้ให้กำเนิดนั้น “มันไม่ยุติธรรม”

ภายใต้ความพยายามของคู โฮอิน บวกกับการสนับสนุนคล้อยตามของภาคประชาชนชาวเกาหลีใต้ สภานิติบัญญัติของเกาหลีใต้จึงผ่านร่างกฎหมาย “ปกป้องสิทธิ์และมรดกของลูกที่ถูกผู้ปกครองทอดทิ้งละเลย” หรือที่รู้จักกันในนาม “กฎหมายคูฮารา” นั่นเอง

 

ใจความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ ระบุว่า

“บุคคลที่บกพร่องในการทำหน้าที่เลี้ยงดูบุตร เช่น ทอดทิ้ง ละเลยบุตร หรือไม่มีความรับผิดชอบในการเป็นผู้ปกครองของบุตร หรือการก่ออาชญากรรม เช่น การไม่ดูแลบุตร หรือ ทารุณกรรมบุตร จะถูกตัดสิทธิจากการสืบมรดกของบุตรหากมีการพิสูจน์ได้ว่าการกระทำนั้นเป็นความจริง”

 

และทั้งหมดที่กล่าวมานี้เอง จึงทำให้คนส่วนหนึ่งเริ่มกังขาถึงความหมาย และความจำเป็นของคำว่า “กตัญญู” นั่นเอง

 



ย้อนหันกลับไปพิจารณาที่ หลักธรรม ว่าด้วย “ความกตัญญู” กันก่อนดีกว่า

 

ความหมายของคำ “บุพการี” และ “กตัญญูกตเวที” นั้น พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้อรรถาธิบายไว้ใน พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ว่า

“1. บุพการี (ผู้ทำความดีหรือทำประโยชน์ให้แต่ต้นโดยไม่ต้องคอยคิดถึงผลตอบแทน)

 

  1. กตัญญูกตเวที (ผู้รู้อุปการะที่เขาทำแล้วและตอบแทน, ผู้รู้จักคุณค่าแห่งการกระทำดีของผู้อื่น และแสดงออกเพื่อบูชาความดีนั้น)”

 

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า

นิยามของคำ “บุพการี” แท้จริงแล้ว ไม่ได้จำกัดอยู่ที่พ่อแม่ หรือ ครูอาจารย์ หากแต่หมายถึงใครก็ได้ ที่ทำคุณงามความดีให้ก่อน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ลูก ก็เป็นบุพการีของพ่อแม่ได้ หากลูกได้กระทำคุณบางอย่างให้พ่อแม่ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

หรือ เราอาจจะเป็นบุพการีของคนแปลกหน้าก็ได้ หากเราช่วยเขาโดยไม่หวังผลตอบแทนเช่นกัน


 

ด้วยเหตุนี้ หมายความว่า ความกตัญญู โดยเนื้อแท้ของมัน ไม่ได้เป็นการผูกมัด บีบบังคับให้ใครต้องยอมจำนนต่อใคร

 

แต่เป็นสภาวะโดยธรรมชาติ ของการทำความดี และการตอบแทนความดี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น และเป็นตัวกลางในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเข้าด้วยกัน

 

ผู้มีความเป็นบุพการี ย่อมเป็นที่รักใคร่ของผู้คน และได้รับการยกย่อง ยอมรับโดยดุษฎี

ผู้มีความกตัญญูกตเวทิตา ย่อมเป็นที่รักใคร่ของผู้คน ได้รับความรักความเมตตา และมีผู้อุปการะเป็นปกตินั่นเอง

หากพ่อแม่ ประพฤติตนเป็นบุพการี ย่อมเป็นที่รักและเคารพจากลูกหลาน

หากลูกหลาน ประพฤติตนเป็นผู้มีความกตัญญู ย่อมเป็นที่รักของพ่อแม่

เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะ ต่างฝ่ายต่างตอบแทน ซึ่งจะก่อเกิดเป็นสายสัมพันธ์ที่รักใคร่กลมเกลียว เป็นครอบครัวที่รักใคร่และอบอุ่น แข็งแรง

หากใครสักคนหนึ่ง ประพฤติตนเป็นบุพการี เสียสละ ทุ่มเทเพื่อสังคม และประเทศชาติ โดยไม่หวังผลตอบแทน

บุคคลผู้นั้น ย่อมเป็นที่รัก เคารพ ยกย่องจากประชาชนทั้งประเทศด้วยเช่นกัน

 



ด้วยเหตุนี้เอง ความหมายที่แท้จริงของความกตัญญู จึงยังคงความเป็น “อกาลิโก” หรือ “ไม่จำกัดด้วยกาลเวลา” หากแต่ยังใช้ได้ในทุกโอกาสอย่างที่มันควรจะเป็น

เหลือเพียงแค่คนในสังคม หันหน้ากลับมามอง กลับมาทำความเข้าใจ และใส่ใจซึ่งกันและกัน

เป็นบุพการี ให้กันและกัน เพื่อความสามัคคี กลมเกลียว และความแข็งแกร่งของสถาบันชาติไทยของเรานั่นเอง

 



สำหรับความพยายามในส่วนของภาครัฐ ในการแก้ไขปัญหาครอบครัวของคนไทยนั้น

 

ในรายงานของกองพัฒนานโยบายและนวัตกรรมทางสังคมเองนั้น เราจะเห็นความพยายามที่จะทำงาน พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมของข้าราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยได้รับความร่วมมือจากส่วนงานอื่น ทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะองค์การยูนิเซฟ หรือ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ ปัญหาความยากจน ที่เป็นต้นเหตุหนึ่งของปัญหาครอบครัวนั้น รัฐบาล มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาให้ตรงจุด ให้แม่นยำ ด้วยการประยุกต์ใช้ Big Data เพื่อการกำหนดเป้าหมายนั่นเอง

 



สำหรับชุดความคิดที่ว่า “การเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นหน้าที่ของรัฐ ไม่ใช่ของประชาชน” นั้น

 

หากพิจารณาจากความหมายของบุพการี และกตัญญูกตเวที ดังที่อธิบายไปแล้วข้างต้นนั้น

เราคงไม่ต้องอธิบายต่อมากว่า คนที่คิดเช่นนี้นั้น เป็นคนเช่นไร

ที่สำคัญ

รัฐ ในที่นี้ นั้นหมายถึงบุคลากรที่สังกัดภาครัฐ ไม่ว่าจะ ข้าราชการการเมือง, ข้าราชการประจำ และลูกจ้างของส่วนราชการนั้น

 

พวกเขาก็มีพ่อมีแม่ของพวกเขาที่ต้องเลี้ยงดูด้วยเหมือนกัน

 

ต้องทำงาน และเสียภาษีเหมือนกับคนไทยอื่น ๆ ทุกคน

พวกเขาเองก็เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่ไม่ได้แตกต่างอะไรกับพวกเรา นอกจาก หน้าที่และอำนาจที่ได้รับมอบตามกฎหมาย

พวกเขาเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน

การโยนภาระที่ควรจะเป็นของตัวเอง ไปให้พวกเขารับผิดชอบแทนนั้น ไม่เพียงเป็นความคิดของคนที่ชอบเอาเปรียบสังคมเท่านั้น

 

แต่ยังเป็นการดูถูกเหยียดหยาม เกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของเหล่าข้าราชการอีกด้วย

และที่สำคัญ

ทั้งความกตัญญู และบุพการี คือลักษณะของคนดี ที่ใคร ๆ ก็ให้ความเคารพยกย่องเชิดชู

ดังนั้น ทั้งบุพการี และความกตัญญู จึงเป็นศักดิ์ศรีอันทรงเกียรติแห่งความเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน

 

 

โดย ศิราวุธ ภุมมะกสิกร


อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า