
การตลาดทางความคิด การต่อสู้ทางการเมืองสมัยใหม่ และสนามรบทางการเมืองไทยในปัจจุบัน
สมมติฐานหนึ่งเกี่ยวกับการแข่งขันในเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีนั้นคือความคิดที่ว่า ‘การแข่งขันเป็นสิ่งที่ดี’ เพราะการแข่งขันทำให้เกิด ‘ตัวเลือก’ และการมีตัวเลือกมากนั้น จะยิ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น
ตลาดที่มีตัวเลือกมากและผู้บริโภคที่มีอิสระที่จะเลือกตัวเลือกต่าง ๆ นั้น คือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาและการสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ
ในทำนองเดียวกันนี้เอง แนวคิดเสรีนิยมนั้นก็ได้มีคำอธิบายที่คล้าย ๆ กัน ซึ่งสามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า ในสังคมที่มีแนวทางแบบเสรีนิยมนั้นจะมี “ตลาดทางความคิด” (marketplace of ideas) ที่แนวคิดต่าง ๆ นั้นสามารถดำรงอยู่ พัฒนาและแลกเปลี่ยนกัน ผู้คนในสังคมนั้นก็สามารถเลือกที่จะรับแนวคิดใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาต้องการ
และการแข่งขันหรือประชันกันในทางความคิด ก็จะยิ่งทำให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ ต่าง ๆ ขึ้นมากมาย ซึ่งจะส่งผลดีให้กับสังคมในที่สุด
ซึ่งเมื่อเราเอาหลักการข้อนี้มากล่าวถึงสังคมไทยแล้ว โดยเฉพาะในสนามการเมืองไทยในปัจจุบัน เราจะเห็นว่าการถกเถียงทางการเมืองต่าง ๆ นั้นค่อย ๆ มีการเคลื่อนตัวออกจากการขับเคี่ยวทางอำนาจผ่านการหักเหลี่ยมและกลยุทธ์ทางการเมือง
เปลี่ยนมาเป็นการพูดถึงการเมืองที่อยู่บนชุดความคิด แนวคิด หลักการ หรืออุดมการณ์ ที่มาจากปรัชญาสังคมการเมืองมากขึ้น ดังนั้นเราอาจจะกล่าวได้ว่า “ตลาดความคิด” ของสังคมไทยนั้น กำลังจะขยายตัวมากขึ้น ๆ
แต่เมื่อเราพิจารณาอย่างละเอียดดูแล้วเราจะเห็นว่า “ตลาดความคิด” ทางการเมืองของสังคมไทยเรานั้นดูเหมือนจะมีสินค้าให้เลือกไม่ค่อยเยอะเท่าใดนัก โดยเฉพาะถ้าเรากล่าวถึงแนวคิดและอุดมการณ์ที่มีความสมบูรณ์ ที่เป็นคำอธิบายถึงประเด็นทางสังคม-การเมืองทั้งภายใน-ภายนอกได้รอบด้าน
แล้วยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ “ตลาด” นี้ตั้งอยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้น ๆ เราจะเห็นได้ว่า “สินค้า” เดียวที่เหมือนจะขายอยู่ในตลาดความคิดนี้ กลับเป็นชุดความคิดและคำอธิบายเดียว ที่พูดไปในทางเดียวกันเสมอ ๆ
และยิ่งไปกว่านั้น การอธิบายหรือเสนอความคิดที่นอกเหนือจากนั้นเป็นสินค้าหนึ่งในตลาด กลับถูกขับไล่โดยพ่อค่าแม่ขายทั้งหลายที่ทำการค้า “ผูกขาด” ในตลาดนี้มานมนาน
อธิบายให้เห็นภาพอีกทีหนึ่ง ในปัจจุบันนั้น สื่อและโลกออนไลน์นั้น เป็นช่องทางหลักที่คนจะเข้าถึงชุดความคิด แนวคิด หรืออุดมการณ์ทางสังคมการเมือง
ซึ่งเมื่อเราพิจารณาแล้วจะเห็นว่าในสื่อโลกออนไลน์นั้นเต็มไปด้วยชุดความคิดเดียวกันเกือบทั้งหมด หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่า “ตลาดความคิด” ในโลกออนไลน์นั้นมีการ “ผูกขาด” โดยสินค้ากลุ่มเดียว นั่นคือ ชุดความคิดแบบเสรีนิยม หรือที่เรียกกันโดยทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “ลิเบอรัล” (Liberalism)
ด้วยเหตุนี้เราจึงอาจจะบอกได้ว่าในตลาดความคิดในสังคมไทยนั้นยังขาดแคลนสินค้าตัวอื่น ๆ ให้เป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภค เพราะชุดความคิดหนึ่งดูเหมือนจะมี ‘เสียงดัง’ และ ‘กลบ’ ความคิดอื่น ๆ ในสังคมออนไลน์ของไทยไปแทบจะหมดสิ้น
ซึ่งส่วนหนึ่งนั่นเราอาจจะกล่าวได้ว่าเพราะผู้ที่ถือความคิดเหล่านั้น ส่วนมากคือผู้ที่เกิดและเติบโตมาพร้อม ๆ กับการใช้เทคโนโลยี หรือที่เรียกกันว่าเป็น digital native (ชาวดิจิทัลโดยกำเนิด) [1] สื่อออนไลน์ต่าง ๆ จึงเป็นสื่อที่พัฒนาขึ้นพร้อม ๆ การเติบโตของคนกลุ่มนี้
และการที่คนกลุ่มนี้มีแนวคิดทางสังคมการเมืองที่เอนเอียงไปในทางหนึ่ง ๆ ใด ๆ ก็หลีกหนีไม่พ้นที่พื้นที่ต่าง ๆ ในสื่อและโลกออนไลน์นั้น จะสะท้อนแนวคิดของคนกลุ่มนี้ที่เป็นผู้ขับเคลื่อนมัน
แต่ถึงแม้การที่ตลาดทางความคิดของสังคมไทยในปัจจุบันนั้นดูเหมือนจะดำเนินไปในทิศทางเดียว
ในความเป็นจริงนั้น เมื่อเราส่องเข้าไปใน ‘ซอกหลืบ’ ต่าง ๆ ของสังคมออนไลน์ เราจะเห็นว่ายังมีคนไทยกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ยึดถือหรือเชื่อตามความคิดกระแสหลักที่มีอยู่ในสังคมออนไลน์ หรือพูดอีกอย่างได้ว่ามีคนไทยกลุ่มหนึ่งกล้าที่จะ ‘เดินสวนกระแส’ ที่มีอยู่
ทำให้ตลาดความคิดของไทยนั้นไม่ได้ถูกผูกขาดอยู่แค่สินค้าตัวเดียว ชุดความคิดแบบเดียว ตัวอย่างของสินค้าทางเลือกหรือแนวคิดที่สวนกระแสโลกออนไลน์นั้นก็เช่น :
เพจเฟสบุคและช่องที่ชื่อว่า “ใบ้” (@bai.libertarian) [2][3] ที่กล้าเดินสวนกระแสของเครือข่ายสื่อออนไลน์กลุ่มใหญ่รวมทั้งนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่พยายามเรียกร้องและใช้วาทกรรมของคำว่า “รัฐสวัสดิการ” รวมทั้งกล้าเดินสวนกระแสการนำแนวคิด “ฝ่ายซ้าย” (ในนิยามสังคมการเมืองตะวันตก) และยึดถือแนวคิด “อิสรนิยม” หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่าแนวคิด Libertarianism
โดยเขาอธิบายเป้าหมายหรือพันธกิจของพวกเขาว่าพวกเขาต้องการ “เรียกร้องหลักการเสรีภาพ, การกระจายอำนาจ, และไม่แทรกแซง (laissez-faire)” ซึ่งถือได้ว่าพวกเขา “เป็นกลุ่มแรกในประเทศไทยหรืออาจจะ[เป็นกลุ่มแรก]ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เริ่มนำแนวคิดและเรียกร้องในแนวคิดและนโยบายอิสรนิยม เพื่อการพัฒนาสวัสดิภาพของปัจเจกบุคคล”
(advocating for liberty, decentralization, and laissez-faire…the first group in Thailand, and perhaps even in South East Asia, to introduce and advocate for libertarian ideas and policies for the development of individual well-being.)
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือเพจเฟสบุคที่ชื่อว่า “Aunnism” (@aunnism) [4] ที่กล้าจะสวนกระแสของสังคมออนไลน์ที่ในประเด็นเกี่ยวกับแนวคิด “สตรีนิยม” หรือ feminism ที่เป็นหัวข้อพูดคุย (talking point) ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์
ซึ่งบางครั้ง (โดยเฉพาะในเว็บไซต์สังคมออนไลน์ขนาดใหญ่อย่างทวิตเตอร์) ก็มีการพูดคุยถกเถียงกันจนมีวิวาทะปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งเพจ Aunnism นี้ก็ได้มีนำประเด็นนี้มาพูดคุยด้วยการเสนอแนวคิดหรือความเห็นตรงกันข้ามขึ้นมาร่วมถกเถียงอย่างออกรส
ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าเราได้ติดตามพัฒนาการของการทำกิจกรรมทางการเมืองของการชุมนุมทั้งใหญ่และย่อยของกลุ่มต่าง ๆ เมื่อเรามองลงไปในรายละเอียดแล้วจะยิ่งได้เห็นว่าภายในการขับเคลื่อนที่ดูเหมือนจะอยู่ในแนวคิดกระแสหลักนั้น
มันก็มีความคิดกระแสรอง ๆ ที่แม้จะไม่ได้เป็นการ ‘เดินสวน’ และเคลื่อนตามไปกับกระแสหลัก แต่เมื่อทำความเข้าใจแล้วก็สะท้อนว่าเป็นความคิดที่มีหลักการหรือเป้าหมายที่แตกต่างหรือกระทั่งตรงกันข้าม
ภายในการขับเคลื่อนสังคมไปในแนวทางเสรีนิยมประชาธิปไตย ซึ่งเป็นชุดความคิดหลักที่ถูกผูกขาดในตลาดความคิดของสังคมไทยในยุคปัจจุบัน กลับมีภาพสะท้อนแนวคิดเช่น แนวคิดอนาธิปไตย (anarchism) ที่ไม่เชื่อในระบอบการปกครองใด ๆ หรือกระทั่งแนวคิดคอมมิวนิสต์ ที่ไม่เชื่อในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาตามแนวคิดเสรีนิยม [5][6]
หรืออย่างแนวคิดการเมืองสีเขียว (green politics) อีกตัวอย่างก็เช่นพรรคประชาชาติที่มีการขับเคลื่อนการเมืองที่นำศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องในบางประเด็น เช่น ประเด็นสุราก้าวหน้าและการสมรสเท่าเทียม [7] ที่ขัดต่อหลักการทางศาสนาของสมาชิกพรรค ซึ่งในทำนองเดียวกันนี้ก็มีสมาชิกพรรคก้าวไกลที่นับถือศาสนาคริสต์ ได้ออกมามีจุดยืนที่ใช้ศาสนาเป็นหลักด้วยเช่นกัน [8]
หรือถ้าจะมองอย่างใจเป็นกลาง ไม่ว่าแนวคิดอย่าง “เศรษฐกิจพอเพียง” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 และแนวคิดของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่มักถูกเรียกอย่างว่า “ฝ่ายขวา” หรือ “ฝ่ายอนุรักษนิยม” ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด “ชาตินิยม” หรือ “กษัตริย์นิยม” ซึ่งมักจะถูก ‘ไล่ผี’ (exorcise) หรือเหยียดหยาม ลดทอนคุณค่าจนไม่เหลือพื้นที่ใด ๆ ก็ควรจะถือเป็นสินค้าตัวหนึ่งในตลาดความคิดที่มีการแข่งขันกันอยู่
การทำความเข้าใจถึงแนวคิดที่ ‘สวนกระแส’ หรือแนวคิดที่เป็น ‘กระแสรอง’ เหล่านี้ และการให้พื้นที่ให้แนวคิดเหล่านี้ได้ถูกพูดถึงถูกอธิบาย และไม่ไป ‘กลบเสียง’ ของความคิดเหล่านี้ ก็ถือเป็นสิ่งที่สมควรทำ
เพื่อให้ตลาดความคิดของสังคมไทยนั้นมีความกว้างขวางขึ้น และผู้บริโภคความคิดต่าง ๆ นั้นสามารถที่จะเลือกสรรสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง และสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสมและดีต่อสังคม
แน่นอนว่าสินค้าบางตัวอาจจะไม่ได้มีการนำเสนอ หรือป่าวประกาศให้คนมาสนใจมากเท่ากับบางตัว ไม่ได้มีการตลาดการโฆษณาที่แยบยล หรือเพราะเหตุผลที่กล่าวไปด้านบนว่าสินค้าบางชิ้นบางตัวก็เกิดขึ้นในยุคที่เทคโนโลยีไม่ได้พัฒนา และผู้คนที่นิยมชมชอบมันก็อาจจะไม่ได้มีความเจนจัดในการใช้เครื่องมือหรือสื่อสมัยใหม่เหล่านั้น
แต่สินค้าชิ้นนั้น ๆ ก็อาจจะมีคุณค่าในตัวมันเอง ดังการเหยียดหรือแสดงออกใด ๆ ที่เป็นการ ‘กลบเสียง’ ของแนวคิดเหล่านั้นคือการทำให้ “ตลาดความคิด” ของสังคมไทยนั้นร่อยหรอและไม่มีชีวิตชีวา ไม่ต่างกับการผูกขาดทำให้มีสินค้าชนิดเดียวที่คนในสังคมจะเลือกได้
พร้อมกันนั้นเอง สินค้า (ความคิด) เหล่านั้นก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีวิธีการโฆษณาที่ดีหรือต้องมีการพัฒนา ‘การตลาด’ ให้แนวคิดของตนนั้นไปสู่ผู้คนได้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น หรือบางแนวคิดที่ดูเหมือนจะยังไม่ชัดเจนก็ควรจะต้องมีการตกผลึกเพื่อนำเสนอคำอธิบายต่อผู้คนใน “ตลาดความคิด” ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะไม่ว่าจะเป็นแนวคิดอะไรก็ตาม การเปิดหูเปิดตา เริ่มทำความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าทำไมแนวคิดนั้นถึงเป็นสิ่งที่คนในสังคมจำนวนหนึ่งเชื่อและยึดถือ ก็อาจจะทำให้สังคมเราน่าอยู่มากขึ้น
และหาก ‘ความคิดที่ดี’ ของฝ่ายหนึ่งสามารถถูกนำไปพัฒนาต่อยอดร่วมกับความคิดที่อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อถือ มันก็จะยิ่งทำให้สังคมพัฒนาขึ้นยิ่ง ๆ ไปด้วย โดยเฉพาะในสังคมการเมืองไทย ที่ดูเหมือนกำลังเดินเข้าสู่การขับเคลื่อนและแข่งขันกันทางความคิด ยิ่งมีความคิดที่หลากหลาย ก็ยิ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ในสังคมที่ดียิ่งขึ้น
อ้างอิง :
[5] ‘ชาวเน็ต’แซะ คนดังหายไปไหน ‘ม็อบ’ทำลายของสาธารณะ
[6] กลุ่ม Mayday โวยม็อบพ่นสีป้ายรถเมล์ ทำลายของสาธารณะ ลั่นไม่ใช่เงินรัฐสร้าง
[7] “ส.ส.พรรคประชาชาติ” เผย ไม่รับหลักการ ร่างกม.สุราก้าวหน้า-สมรสเท่าเทียม
[8] หมออ๋อง ไลฟ์แจง มั่นใจพรรครับได้ ไม่โหวต ‘สมรสเท่าเทียม’ ยื่น 2 เงื่อนไข หลังถูกวิจารณ์หนัก
ลัทธิตาสว่าง (Woke) กับความสุดโต่งทางวัฒนธรรม การอยู่รอดอย่างไร เมื่อถูกมองว่าเป็น “สิ่งแปลกปลอม”ในสังคม
เรื่องกฎหมายใกล้ตัว เข้าร่วมชุมนุมทาง ‘การเมือง’ เสี่ยงถูกไล่ออกโดยไม่ได้ค่าชดเชย!
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม